“สมัยก่อน การศึกษาของเด็กในชนบทเป็นเรื่องยาก

การบวชเรียนจึงเป็นโอกาสทางการศึกษาไปด้วย

และหยั่งรากลึกลงกลายเป็นวัฒนธรรมการศึกษาของชนชาติ

ทำให้เยาวชนอยู่ในกรอบของพระธรรมวินัย ได้เรียนนักธรรม เรียนบาลี

แล้วค่อยๆ พัฒนาเป็นเรียนวิชาอย่างอื่นเพิ่มเติม แต่การจะบูรณาการความคิดเข้ากับความรู้ด้านอื่นๆ ก็เป็นเรื่องยากมากเหมือนกันในยุคนั้น เพราะขาดหนังสือที่หลากหลาย”

หากทว่า …โชคดีที่ท่านเจ้าคุณอาจารย์พระราชกิจจาภรณ์ (เทอด ญาณวชิโร) ในครั้งนั้น

มีครูบาอาจารย์ที่เป็นทั้งพระบ้านและพระป่า

ซึ่งเป็นประดุจแสงสว่างทางปัญญาให้กับท่านเมื่อครั้งยังเป็นสามเณรน้อยในตอนนั้น

พระมงคลธรรมวัฒน์(บุญจันทร์ จตฺตสลฺโล) หลวงพ่อวัดปากน้ำ อ. บุ่งสะพัง จ.อุบลราชธานี

รำลึกวันวาน …มโนปณิธาน พระราชกิจจาภรณ์ (เทอด ญาณวชิโร)

ตอนที่ ๑๒ .  เรื่องของเสือและบทแผ่เมตตาของโยมแม่ใหญ่

โดย มนสิกุล โอวาทเภสัชช์

หน้าธรรมวิจัย นสพ.คมชัดลึก วันอังคารที่ ๕ กันยายน พ.ศ.๒๕๖๐

ท่านเจ้าคุณอาจารย์พระราชกิจจาภรณ์ ในครั้งนั้น ย้อนอดีตเมื่อวัยเยาว์ให้ฟัง ในวันที่การศึกษาของพระเณรกำลังถูกลดความสำคัญลงไป จนแทบจะไม่ค่อยมีใครให้ความสำคัญเลยก็ว่าได้ หากไม่มีครูบาอาจารย์ผู้เป็นต้นแบบ เป็นพระเล็กๆ ที่มีวัตรปฏิบัติอันงดงาม ซุกตัวอยู่ในมุมหนึ่งของชุมชนเล็กๆ ที่ยังมีอยู่ทั่วประเทศเป็นผู้สร้างพระเณรให้มีความเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวทางธรรม วันนี้อนาคตพระพุทธศาสนาจะเป็นเช่นไร ดังที่ท่านเล่าต่อมาว่า… 

“ที่เล่ามา ก็เป็นโอกาสได้เชิดชูวิถีการปฏิบัติของครูบาอาจารย์  และอีกอย่างหนึ่ง ก็เป็นการให้กำลังใจพระเล็กๆ หลวงปู่ หลวงตา หลวงพ่อ ที่ไม่มีชื่อเสียงเรียงนาม ที่ได้อุ้มชู ช่วยเหลือเด็กน้อยอยู่ตามมุมใดมุมหนึ่งของสังคม ให้มีโอกาสได้บวชเรียน ซึ่งท่านเหล่านั้นมีอยู่มากมายตามชนบททั่วประเทศ

“เด็กบางคนขาดแคลนทุนทรัพย์ในการเรียนหนังสือ เมื่อมาบวชเป็นสามเณร ครูบาอาจารย์ก็ส่งเสริมให้เรียนต่อ ทั้งนักธรรม  บาลี และวิชาการทางโลก ที่ไม่ขัดต่อพระธรรมวินัย ก็เพื่อให้เข้าใจโลก เข้าใจชีวิต ซึ่งตัวท่านเองก็อาจไม่รู้ว่า วันหนึ่งวันใดข้างหน้า สามเณรน้อยที่ท่านได้ดูแลด้วยความเมตตา  คอยแนะนำพร่ำสอนให้มีวินัย ให้มีหลักธรรม พอประคับประครองตนเองให้พ้นปากเยี่ยวปากกา พอพึ่งตนเองได้เมื่อเติบโตขึ้นมา อาจกลายเป็นหลักของสังคม และเป็นที่พึ่งของคณะสงฆ์ ทำให้พระพุทธศาสนาสืบทอดต่อไปไม่สิ้นสุด

“ครูบาอาจารย์จึงเป็นกัลยาณมิตร เป็นแสงสว่างนำทางชีวิต เป็นนิมิต เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความรุ่งโรจน์ของชีวิต ดังที่พระพุทธองค์ตรัสว่า กัลยาณมิตร คือ รุ่งอรุณแห่งความคิด เพราะก่อนที่แสงสว่างจะมาถึงยามเช้า ย่อมมีแสงแห่งรุ่งอรุณจับขอบฟ้าก่อน

พระอาจารย์มหามังกร-ปญฺญาวโร
พระอาจารย์มหามังกร ปญฺญาวโร

หลวงพ่อที่วัดปากน้ำ ( พระมงคลธรรมวัฒน์(บุญจันทร์ จตฺตสลฺโล) และอาจารย์มหามังกร ปญฺญาวโร จึงเป็นรุ่งอรุณทางความคิดให้กับอาตมา เพราะท่านเป็นปราชญ์ที่อุทิศชีวิตและกำลังความคิดเพื่อชุมชนที่ท่านอยู่

แม้ชีวิตของท่านจะซุกตัวเงียบๆ อยู่กับชาวบ้านในมุมใดมุมหนึ่งของสังฆมณฑล  ไม่แสดงตัว ไม่ปรากฏทั้งโดยนามและฉายา แต่ท่านก็มีมุมความคิด มีวิถีการปฏิบัติ มีวิธีการดำเนินชีวิตในรูปแบบและแนวทางของท่าน

“ชีวิตอาตมาได้พบเจอท่านทั้งสอง ได้เห็นวิถีพระบ้านของหลวงพ่อวัดปากน้ำ และวิถีพระป่าของอาจารย์มหามังกร จึงเป็นเหมือนขอบฟ้าได้เจอรุ่งอรุณทางความคิด

           “โดยเฉพาะพระอาจารย์มหามังกร ที่มีวิถีแห่งพระป่าเป็นทางเดินของชีวิต แต่ขณะเดียวกัน ท่านก็ไม่ได้ทิ้งวิถีโลก ท่านเข้าใจโลก เรียนรู้โลก ท่านไม่ทิ้งข้อมูลข่าวสารของโลก อาตมาจึงได้ศึกษาซึมซับกับท่านมาช่วงหนึ่ง”

และนี่คือ ทิศทางทางความคิดของท่านอาจารย์เจ้าคุณเทอดในครั้งนั้น ที่มาจากหนังสือและการได้เรียนรู้อยู่กับครูบาอาจารย์ ที่อาจไม่มีชื่อเสียง แต่สำหรับศิษย์ ไม่ว่าครูจะเป็นใคร ย่อมยิ่งใหญ่ในใจศิษย์เสมอ …ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใดก็ตาม

เถียงนาพ่อใหญ่โทน-แม่ใหญ่จูม-วงศ์ชะอุ่ม
เถียงนาพ่อใหญ่โทน-แม่ใหญ่จูม-วงศ์ชะอุ่ม

ครูบาอาจารย์ที่สำคัญของท่านเจ้าคุณเทอดซึ่งเป็นผู้ให้ชีวิตแรกที่เราไม่อาจผ่านเลยไปก็คือโยมพ่อใหญ่โทน โยมแม่ใหญ่จูม วงศ์ชะอุ่ม(คุณปู่ กับ คุณย่า) คุณพ่อเกินและคุณแม่หนูเพชร วงศ์ชอุ่ม ของท่าน ที่มีจิตใจอันงดงาม เป็นพระในบ้านที่ทำให้ท่านอบอุ่นมาตั้งแต่วัยเยาว์ และซึมซับความเด็ดเดี่ยว กล้าหาญ มาจากท่านอย่างเต็มเปี่ยม  ดังที่ท่านเล่าให้ฟัง

ขอเล่าย้อนกลับไปถึงการเรียนหนังสือในชนบทเมื่อราว พ.ศ. ๒๕๒๐  สภาพทั่วไปของหมู่บ้านตามชนบทในยุคนั้น ส่วนมากยังไม่มีไฟฟ้า ต้องใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าด และกระบอก(ขี้ใต้) ซึ่งทำจากน้ำมันยางนาและขี้ขอนดอก(ไม้ผุ)คลุกผสมกัน แล้วพันด้วยใบไม้รัดด้วยตอกให้เป็นท่อนราวศอกหนึ่ง ท่อนหนึ่งจุดได้ราวอาทิตย์เศษ

(โฮงกระบองในพิพิธพันธ์บ้านปากน้ำ วิถีชีวิตชาวบ้านลุ่มน้ำบุ่งสระพัง จ.อุบลราชธานี)
(โฮงกระบองในพิพิธพันธ์บ้านปากน้ำ วิถีชีวิตชาวบ้านลุ่มน้ำบุ่งสระพัง จ.อุบลราชธานี)

ชาวบ้านต้องเข้าป่าหาขี้ขอนดอกและขี้ยางนามาทำกระบอกสะสมไว้ โยมแม่ใหญ่เล่าว่า ตอนที่ท้องโยมพ่อได้เข้าป่าไปหาขี้ขอนดอก หาเห็ด  เจอเสือเข้าตกใจมาก เสือก็ตกใจ คนก็ตกใจ คนกับเสือต่างยืนจ้องหน้ากัน ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ได้แต่นึกถึงคุณพระคุณเจ้า นึกถึงผีปู่ ผีย่า ผีป่า ผีดง  และลูกในท้อง  แล้วก็นึกแผ่เมตตาให้เสือ หากไม่เคยมีเวรมีกรรมต่อกัน ก็ขออย่าทำอันตรายต่อกันเลย อยู่ดีๆ เสือก็เดินหันหลังหลบเข้าป่าไป

“ บ่อยครั้งที่โยมแม่ใหญ่มักเล่าเรื่องเสือให้ลูกหลานฟัง เหมือนเป็นช่วงสำคัญของชีวิตที่โยมแม่ใหญ่จดจำไม่ลืม และบทแผ่เมตตาบทแรกที่โยมแม่ใหญ่สอนให้ลูกหลานท่อง คือ “อโหสิๆ” ไม่ว่าจะทำอะไรก็ให้อโหสิ 

ใครทำอะไรที่ไม่ดีก็อย่าไปถือโทษโกรธเคือง ให้อโหสิ ทุกครั้งที่ปล่อยสัตว์ ให้บอกว่า “ชาตินี้ข้าปล่อยเจ้า ชาติหน้า ขอให้เจ้าปล่อยข้า”

บทแผ่เมตตานี้ เราสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในทุกสถานการณ์ปัจจุบันได้เป็นอย่างดี หากเราระลึกถึงการให้อภัยกันและกันอย่างสม่ำเสมอ เชื่อได้ว่า ความสุขใจจะแผ่ขยายออกไปให้กับคนรอบข้าง และกระเพื่อมไปยังผู้คนที่ห่างไกลได้อย่างแน่นอน และนั่นหมายถึงความสงบสันติในสังคมจักบังเกิดขึ้นต่อเนื่องไปไม่สิ้นสุด เพียงเพราะการอโหสิกรรม ….

จาก คอลัมน์ มโนปณิธาน พระราชกิจจาภรณ์ (เทอด ญาณวชิโร)

โดย มนสิกุล โอวาทเภสัชช์

หน้าธรรมวิจัย นสพ.คมชัดลึก วันอังคารที่ ๕ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๐

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here