
จาริกธรรมในอเมริกา ตอนที่ ๑๑
มีลมหายใจ
เท่ากับมีทุกสิ่งทุกอย่าง
โดย พระครูสมุห์สุพัฒน์ อนาลโย
มีหลายคนที่กลัวการเปลี่ยนแปลงในชีวิต แม้แต่ผู้เขียนตอนเป็นพระหนุ่มเณรน้อยอยู่ก็กลัวคือ การเปลี่ยนแปลงของชีวิต
“ครั้งหนึ่ง ตอนที่ไปปฏิบัติศาสนกิจของศาสนาที่วัดมหาธาตุ จังหวัดยโสธร น้องสาวโทรศัพท์มาบอกว่าแม่ไม่สบายให้หลวงพี่มาเยี่ยมท่านหน่อย”
เพียงแค่ได้ยินว่าโยมแม่ไม่สบายเท่านั้นล่ะ เอาแล้วความคิดเริ่มก่อตั้งสร้างเรื่องราวต่างๆ นานาให้เราคิดแต่งเรื่องปรุงแต่งฟุ้งไปสารพัดเรื่อง ถ้าแม่เป็นอะไรไปเราจะอยู่อย่างไร ใบหน้าที่เคยเห็นจะไม่ได้เห็นหน้าอีกแล้ว เสียงที่คุ้นเคยหูจะไม่ยินอีก เราจะไม่มีแม่แล้วจะเป็นเด็กกำพร้าแม่แล้วหรือ ความอบอุ่นใจที่ครอบครัวอยู่พร้อมหน้าพร้อมตามันจะสลายหายไปแล้ว
ยิ่งคิดยิ่งหนักใจ หนักหัว ปวดศีรษะ หน้าตรึงเครียดน้ำตาค่อยซึมออกมา ขนาดที่นั่งรถบัสกลับบ้านไปเยี่ยมโยมแม่ที่ป่วย ความเบาใจสุขใจเย็นใจใจปกติไม่ได้เลย ช่วงเวลานั้นๆ นี่ล่ะนะที่เขาเรียกว่า ความทุกข์มันเป็นเช่นนี้เอง
ตอนนั้นไม่รู้เลยว่าความทุกข์ใจทุกข์กายเป็นอย่างไร เพิ่งมารู้มาเข้าใจความทุกข์ใจมันเป็นแบบนี้
ทุกข์กายคือ เวลาเราที่เจ็บไข้ปวดเมื่อยตายร่างกายแขนขามือ ความหิวโหยอาหารร่างกายต้องการอาหาร ปวดปัสสาวะอุจจาระ นี่เป็นความทุกข์ทางกาย
ความทุกข์ทางใจคือ เรื่องราวต่างๆที่มากระทบกระทั่งจิตใจทำให้ไม่พอใจ ทำให้คิดมากๆ ย้ำคิดเรื่องเดิมแล้วทำให้ไม่สบายจิตใจ ขาดความเป็นอิสรภาพทางจิตใจ หรือใจมันไม่ปกติเป็นธรรมชาติ เวลามีอารมณ์มากระทบจิตใจมันทนได้ยาก ต้องฝืนจิตฝืนใจทำในสิ่งนั้นๆ นี่เป็นความทุกข์ทางใจ
ไม่ว่าจะทุกข์กายใจ คือความทุกข์ที่มันทนได้อยาก วิธีรับมือความทุกข์กายใจ ดังนี้
ทุกข์กายคือ ร่างกายเหี่ยวย่น ผมหงอก ต้องทำใจยอมรับสภาพที่เป็นอยู่ให้ได้ ต้องทำใจ เพราะมันไม่เที่ยง คือมันมีการเปลี่ยนแปลงเสมอ
ตั้งแต่เกิดมาจากแม่และพ่อ เติบโตเป็นเด็ก จากเด็กมาเป็นวัยรุ่นหนุ่มสาว เข้าสู่วัยกลางคน จากนั้นเป็นคนแก่ จะเห็นได้ว่า แม้ร่างกายของเราก็มีการเปลี่ยนแปลงเสมอจนกว่าหมดลมหายใจ
ทุกข์ใจคือ ความคิด ความพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รัก ความเศร้าเสียใจ ความคับแค้นใจ อึดอัดใจ ความพอใจและไม่พอใจ ควรมองสิ่งเหล่านี้ด้วยการยอมรับความเป็นจริงตามกฎของธรรมชาติ และเฝ้าดู รู้ แก้ไขด้วยปัญญา
ทั้งหมดนี้เริ่มต้นที่เพียรอยู่กับลมหายใจเข้า หายใจออก จนสติมาก่อน ปัญญาก็จะมาแก้ไขดับทุกข์ที่ใจ ทุกข์ใจเพราะความคิด แก้ไขที่ความคิด เพราะความคิดมันไม่สามารถจับต้องได้ ความคิดมันเป็นเปลี่ยนแปลงเสมอ
ตอนนี้ท่านกำลังอ่านบทความนี้อยู่ในขณะเดียวกันก็คิดถึงเรื่องอื่นเช่นเดียวกัน ใช่ไหม ความคิดไม่เที่ยงแท้แน่นอน คิดเรื่องนี้จบ เรื่องใหม่ก็เกิดขึ้นมาทันที ไม่ต่างอะไรเลยจากที่เราดูทีวี มันเล่นเป็นตอนๆ ไปจนกว่าจะจบ ความคิดก็เช่นเดียวกัน เหมือนพระท่านเทศน์ ดูละครจบแล้วอย่าลืมย้อนมาทบทวนชีวิตตน
สรุปคือความคิดมันไม่เที่ยงแท้ จะมีความสุขตลอดไปคงเป็นไปได้ยาก จะทุกข์ใจตลอดไปเป็นได้ยาก จะมีสุขบ้าง มีทุกข์ เฉยๆ บ้าง เป็นธรรมดา เราเป็นเพียงผู้เฝ้าดูใจ รู้ที่ใจ จบที่ใจพอ
สุดท้าย การเปลี่ยนแปลงทางกายและทางใจ
มันก็เป็นไปตามธรรมชาติมีเกิดก็มีดับ
มีเริ่มต้นก็มีสิ้นสุด
ทุกข์ที่กายก็ยอมรับเข้าใจกาย มันย่อมมีการเปลี่ยนแปลง ถึงแม้จะทำมันขึ้นมาใหม่อย่างไรสิ่งนั้นก็มีการหมดอายุไขได้เช่นกัน ทั้งความทุกข์และความสุขล้วนมีอายุไข มันไม่ได้ดำรงอยู่ตลอดไป มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา มันมาได้ มันก็สิ้นสุดได้ เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ แม้แต่ตัวเรา
จิตที่คิดว่าเป็นเรา ก็มีอายุไขเหมือนกัน
ทุกข์ที่ใจก็เฝ้าดูอย่างมีสติสัมปชัญญะ หรือรู้สึกตัวรู้เนื้อรู้ตัวว่ากำลังคิดอะไร และจะกระทำตามความคิดว่าดีหรือชั่ว
อย่างไรก็ดี จะทุกข์กายทุกข์ใจก็มีการเปลี่ยนแปลงทางกายและใจ ทั้งหมดทั้งมวลก็อาศัยการมีลมหายใจ การมีกายใจก็อาศัยลมหายใจ การเปลี่ยนแปลงทางกายใจก็อาศัยลมหายใจ จะหมดทุกข์ทางกายและใจก็อาศัยลมหายใจ เพราะการมีลมหายใจก็เท่ากับมีทุกสิ่งทุกอย่าง และสามารถที่จะช่วยเหลือทำประโยชน์แก่คนอื่นได้เช่นเดียวกัน
จาริกธรรมในอเมริกา (ตอนที่ ๑๑) มีลมหายใจเท่ากับมีทุกสิ่งทุกอย่าง โดย พระครูสมุห์สุพัฒน์ อนาลโยจากคอลัมน์ ธรรมลิขิต (หน้าธรรมวิจัย นสพ.คมชัดลึก วันอังคารที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๖๒)

