พระพุทธเป็นที่พึ่งทางใจ
โดย พระครูสมุห์สุพัฒน์ อนาลโย
“บ้านเรือนมั่นคงเพราะมีเสาปักหลัก เจดีย์มั่นคงเพราะก้อนอิฐเป็นพื้นฐาน เราชาวพุทธควรมีพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งทางจิตใจ มีพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งพักพิงทางจิตใจคือ ปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ และนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน พระพุทธองค์ก่อนปรินิพพานตรัสเตือนสติแก่สาวกไว้ว่า “อย่าประมาท” นั้นหมายถึงให้มีสติ หรือความระลึกได้ ความรู้เนื้อรู้ตัว ความรู้สึกตัว
ทรงสอนเรื่องความดับทุกข์ ความทุกข์คือ สภาพที่ทนได้อยาก พลัดพลาดจากสิ่งที่เป็นที่รักที่น่าใคร่ ความไม่ได้ดังใจปรารถนา พอใจและไม่พอใจ ความโศกเศร้า ความร่ำไรรำพัน ความรักและอกหัก ความคิด ความทุกข์ทางกายขันธ์ ๕ นี่คือความทุกข์
ดับทุกข์ได้ด้วยสติหรือรู้สึกตัว
ไม่เป็นทุกข์เพราะความคิด ความรัก อกหัก สมหวังและไม่สมหวัง พลัดพลาดสิ่งที่รัก หรือตายจากกัน แม้แต่หนีแยกทางกัน เพียงแค่เราวางใจให้เป็นกลางไม่ยึดติดจนลืมตัวที่ว่าขาดสติตัวหลงก็เข้ามาแทนที่ ดำรงสติทำความรู้สึกตัวให้อยู่ในปัจจุบัน ไม่เข้าไปยึดติดกับดักของอดีตไม่เข้าไปหลงความคิดฟุ้งซ่านไปอยู่ในอนาคตจนลืมตนว่าอยู่ในปัจจุบันตามความเป็นจริง หรือหน้าที่ตนทำอยู่ขนาดนี้
อยู่ในปัจจุบันนี้ ขณะนี้ ทำอะไรก็รู้สึกตัวว่าทำ คิดอะไรดี ไม่ดี รู้สึกตัว
คิดสิ่งเหล่านั้นอยู่ การพูดก็เช่นกัน เราอยู่กับตนเอง รู้จิตความคิดตนเองขนาดนี้ นับว่ามีความสุขแล้ว ไม่ไปคิดเรื่องอดีต อนาคต มากจนเกินไป ถ้าคิดก็ให้มีความรู้สึกตัว รู้เท่าทันกับความคิด แล้วเรื่องของสติจะค่อยๆ เกิดขึ้นภายในจิตใจเรา ความสุขความเบาใจโล่งใจจะปรากฏขึ้นเรื่อย ฝึกรู้สึกตัวบ่อยความรู้สึกตัวหรือสติจะเพิ่มเรื่อยๆ เช่นกัน
ตัวสติคือพระพุทธเจ้า เพราะสติคือคำสอนของพระองค์ ใครมีพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งทางใจเท่าว่ามีสติเป็นที่พึ่งเช่นเดียวกัน
สติคือพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าคือสติ มีสติเป็นที่พึ่งทางใจ เท่ากับว่ามีพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งทางจิตใจเช่นเดียวกัน
จากคอลัมน์ ธรรมลิขิต
(หน้าธรรมวิจัย นสพ.คมชัดลึก วันอังคารที่ ๕ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๖๒)
พระพุทธเป็นที่พึ่งทางใจ โดย พระครูสมุห์สุพัฒน์ อนาลโย