ผู้เขียนเปิดบันทึกเมื่อครั้งยังทำอยู่นิตยสารเนชั่นสุดสัปดาห์ ซึ่งบรรณาธิการของนิตยสารได้ให้ดูแลหน้าธรรมวิจัย ทุกวันอังคาร และหน้าพระไตรสรณคมน์ ทุกวันพฤหัสบดี นสพ.คมชัดลึกไปด้วย ในช่วงเวลาสี่ห้าปีหลัง ทำให้ได้เรียนรู้การทำงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาเชิงรุกของสำนักงานส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรมและความมั่นคงแห่งสถาบันชาติ พระศาสนา พระมหากษัตริย์ ซึ่งมีสำนักงานอยู่ที่วัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร
ผ่านการทำงานของคณะสงฆ์รุ่นใหม่ที่อยู่ในพื้นที่ทั่วประเทศ ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดของท่านอาจารย์เจ้าคุณพระราชกิจจาภรณ์ (เทอด ญาณวชิโร) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศ ราชวรมหาวิหารในขณะนั้น
แล้วท่านก็เมตตาให้พระสงฆ์ช่วยกันเขียนบทความจากการลงพื้นที่จัดอบรมพระสงฆ์ การช่วยเหลือชาวบ้านที่เดือดร้อนจากภัยธรรมชาติ พิษเศรษฐกิจรุมเร้า ตลอดจนปัญหาครอบครัวที่ทำให้เด็กๆ ไม่น้อยขาดความอบอุ่นเพราะพ่อแม่แยกทางกัน ทางออกที่พระสงฆ์ได้จัดฝึกอบรมเยียวยาจิตใจในทุกด้านของคนทุกข์ในทุกพื้นที่
ผ่านการร้อยเรียงเป็นบทความมากมายในสองหน้าแห่งธรรมของหนังสือพิมพ์คมชัดลึกเป็นธรรมทานมาโดยตลอด
บันทึก…
“การทำงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาเชิงรุก”
ใต้ร่มพระบารมีแผ่ไพศาลเพื่อทางธรรมแห่งความสงบเย็น
เขียนโดย มนสิกุล โอวาทเภสัชช์
ด้วยความกตัญญูในพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า และพระสังฆเจ้า ที่มีเมตตาต่อมวลมนุษย์และสรรพสัตว์อย่างไม่มีประมาณ พระรัตนตรัยจึงยังคงเป็นที่พึ่งให้เวไนยสัตว์มาจนถึงทุกวันนี้ ผู้เขียนจึงขอบันทึกเรื่องราวแต่หนหลังการทำงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาเชิงรุกของท่านอาจารย์เจ้าคุณเทอด และคณะสงฆ์ผู้เสียสละชีวิตเพื่อธรรมมาโดยตลอด
เพื่อเป็นพลังใจให้ผู้เขียนได้ก้าวเดินต่อไปบนเส้นทางนี้อย่างไม่หวาดหวั่นภยันตราย ด้วยความบริสุทธิ์ใจทุกประการในการนำเสนองานเผยแผ่พระพุทธศาสนาในยุคหลัง ๒๖๐๐ ปีที่พระพุทธเจ้าปรินิพพาน หนทางที่ไม่เคยโรยด้วยกลีบกุหลาบ หากเต็มไปด้วยขวากหนามอันเจ็บปวดที่ต้องเดินผ่านไป ละทิ้งกิเลสภายในตน และเสียสละแม้กระทั่งชีวิต เพื่อรักษาธรรมก็ต้องยอม…
และแล้วพายุก็มาอย่างไม่ทันตั้งตัวในยามบ่ายวันอาทิตย์ที่ผ่านมาทำให้ไฟดับ แล้วอินเทอร์เน็ตก็ล่ม ผู้เขียนกำลังจะส่งงานหน้าพระไตรสรณคมน์พอดี จึงต้องหยุดกลางครัน ความไม่เที่ยงมาสอนทุกขณะ ทำให้ตระหนักว่า ไม่มีสิ่งใดที่เราจะควบคุมหรือจะให้เป็นไปตามแผนได้ เพียงแต่ขอให้เราตั้งจิตไว้ให้ดี เวลาทำอะไรก็ตั้งใจทำให้ดีที่สุด เมื่อผลปรากฏอย่างไรจิตให้ยอมรับกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ไม่ฟูไปมากเมื่อประสบความสำเร็จ และไม่แฟบจนท้อถอยเมื่อล้มเหลว หากเห็นได้ว่า ทั้งสองอย่างนั้น มีค่าเท่ากัน
ดังใน “นาลกสูตร” ที่พระพุทธองค์ทรงสอนพระภิกษุนาลกะว่า ให้เป็นผู้มั่นคงในการรักษาจิตของตนเถิด การด่าและการไหว้ในหมู่บ้าน พึงกระทำให้เสมอกัน
“มุนีนั้น คำนึงถึงว่า สิ่งที่เรายังประโยชน์ให้สำเร็จ เราไม่ได้ก็เป็นความดี เป็นผู้คงที่ทั้งการได้และไม่ได้ทั้งสองอย่างนั้นแล ย่อมพ้นทุกข์ได้ เหมือนอย่างคนผู้แสวงหาผลไม้ เข้าไปถึงต้นไม้แล้ว จะได้ หรือไม่ได้ ก็ไม่ยินดี วางจิตเป็นกลางกลับไป”
มาถึงยุคนี้ พระสูตรที่พระพุทธเจ้าสอนพระนาลกะยังคงใช้ได้ดีสำหรับเราทุกคน เวลาทำกิจการงานใด หากวางใจเป็นกลางไว้ก่อน แล้วตั้งใจทำทุกอย่างเป็นกุศล เท่านี้ก็อิ่มใจแล้ว ไม่ต้องรอคำชื่นชม แม้ทำดีแล้วไม่มีใครสน ก็ยังทำต่อไป เพราะจิตมีความสุขที่ได้ทำเช่นนั้น
พระพุทธเจ้าจึงให้เรายึดพระไตรสรณคมน์เป็นที่พึ่งในขณะที่จิตใจเรายังไม่มั่นคง แล้วน้อมนำธรรมะของพระพุทธองค์มาปฏิบัติในชีวิตประจำวัน โดยมีพระสงฆ์สุปฏิปันโน และสมมติสงฆ์ช่วยชี้ทางสว่างให้ในยามที่เรายังเพิ่งหัดเดิน ตั้งไข่ ย่อมต้องล้มลุกคลุกคลานเป็นธรรมดา จนกว่าจิตใจจะแข็งแรงจนกระทั่งพึ่งตนเองได้อย่างแท้จริง
พระรัตนตรัยจึงเป็นพึ่งอันประเสริฐที่องค์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ล้นเกล้าของชาวไทย ทรงน้อมนำมาให้พสกนิกรของพระองค์ได้มีที่พึ่งอันประเสริฐในชีวิตตามรอยพระองค์ท่านด้วย
ดังที่พระมหาประสิทธิ์ ญาณปฺปทีโป เขียนไว้ในคอลัมน์ “โชคดีที่มีพระ” ในเรื่องสิ่งที่พ่อสร้างไว้ จนทำให้ผู้อ่านกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ที่พระองค์ท่านทรงใส่ใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของพสกนิกรทุกคน เพื่อให้เราตั้งหลักใจได้และ มั่นใจเสมอมาว่าพระองค์ไม่ทิ้งพวกเราตลอด ๗๐ พรรษาแห่งการครองราชย์ และตลอดพระชนมชีพของพระองค์
แล้วนับจากนี้ เราจะอยู่กันอย่างไร หลังจากที่พระองค์ทรงจากเราไปเกือบขวบปีแล้ว พระมหาอภิชาติ ธมฺมาภินนฺโท เขียนเรื่อง ต่อยอดความดี ตอบแทนคุณของพระองค์ ตอบแทนคุณของแผ่นดิน ไว้ใน “จาริกบ้าน จารึกธรรม ” เพื่อให้เราน้อมนำสิ่งที่พระองค์ทรงสอนมาฝึกฝนปฏิบัติสร้างคุณงามความดีวันละเล็กวันละน้อย ตามรอยพระองค์ท่าน และตามรอยพระบาทพระศาสดาต่อไปอย่างได้หยุดประดุจดอกบัวที่เบ่งบานกลางพายุฝน ซึ่งทั้งสอนท่านได้ผ่านการฝึกฝนหลักสูตรพระวิทยากรกระบวนธรรมจาก สถาบันพัฒนาพระวิทยากร สำนักงานส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม และความมั่นคงแห่งสถาบันชาติ พระศาสนา พระมหากษัตริย์ ซึ่งก่อกำเนิดเกิดขึ้นเมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๕๑ ในเดือนธันวาคม อันเป็นเดือนมหามงคล วันเฉลิมพระชนมพรรษา แห่งสมเด็จบรมบพิตร พระราชสมภารเจ้า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ โดยมีสมมติฐานการจัดตั้งมาจากพื้นฐานสังคมไทยที่มีความเจริญมั่นคง วัฒนาสถาพร มีวัฒนธรรมแห่งความเป็นชนชาติไทย จนถึงปัจจุบัน สืบเนื่องมาจากคุณธรรม จริยธรรม แห่งพระพุทธศาสนา ซึ่งได้สร้างศาสนทายาท พระวิทยากรกระบวนธรรมมาเป็นลำดับเป็นเวลา ๙ ปีแล้ว
ทั้งสองท่านทำงานปิดทองหลังพระอย่างเงียบๆ ดังเช่นพระเล็กๆ อีกมากมายในหลายพื้นที่ของแผ่นดินไทย ที่กำลังทำหน้าที่เผยแผ่พระพุทธศาสนาอยู่ในทุกด้าน ตั้งแต่การสงเคราะห์ผู้ยากไร้ ช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากธรรมชาติแปรปรวน ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วมแผ่นดินไหว ให้การศึกษาพระเณร และจัดอบรมนักเรียน นักศึกษา ประชาชนทั่วไป เพื่อให้ค้นพบศักยภาพตัวเอง
การทำงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาเชิงรุกนี้ เป็นส่วนหนึ่งที่เกิดจากดำริของ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสณมหาเถระ) ผู้มีอุปการคุณอย่างใหญ่หลวงต่อพระพุทธศาสนาในการขับเคลื่อนธรรมจักรเพื่อรับใช้เพื่อนมนุษย์ให้พ้นทุกข์มาอย่างต่อเนื่อง ตามรอยองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และตามรอยในหลวงรัชกาลที่ ๙ มาโดยตลอดจนถึงศิษยานุศิษย์ของท่านที่ได้ทำหน้าที่ช่วยเหลือผู้คนให้รอดพ้นจากสังสารวัฏแห่งการเกิด แก่ เจ็บ ตายนี้อย่างมีเป้าหมาย คือ พระนิพพาน เป็นเบื้องปลาย…
บันทึก “การทำงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาเชิงรุก” ใต้ร่มพระบารมีแผ่ไพศาลเพื่อทางธรรมแห่งความสงบเย็น…เขียนโดย มนสิกุล โอวาทเภสัชช์ จากคอลัมน์ “หมายเหตุพระไตรสรณคมน์ หน้าพระไตรสรณคมน์ วันพฤหัสบดีที่ ๑๒ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๖๐