บทความพิเศษตอนที่ ๑๖
“ถอดบทเรียนนางจิญจมาณวิกา ที่ต้องการโค่นล้มพระพุทธเจ้า สู่วาทกรรมเงินทอนวัดในสังคมไทยปัจจุบัน”
โดย พระใบฏีกาคทาวุธ คเวสกธมฺโม
ในสมัยพุทธกาลมีบุคคลที่ไม่หวังดี และจ้องทำลายพระพุทธองค์ โดย “ทำงานกันเป็นทีม แบ่งหน้าที่กันทำ ทำเป็นกระบวนการ และมีเครือข่ายเชื่อมโยงกันในทางสังคมทุกมิติ” เช่น
กรณีของนางจิญจมาณวิกา ได้ร่วมมือกับพวกเดียรถีย์ นักบวชนอกศาสนา เพราะเกิดความอิจฉาที่เห็นคนศรัทธาพระพุทธองค์มากกว่าตน ทำให้พวกเดียรถีย์เสื่อมลาภ หมดอำนาจ จึงต้องกำจัดพระพุทธองค์ ด้วยการทำลายเกียรติภูมิชื่อเสียง และโค่นล้มพระพุทธองค์ให้ได้ โดยใช้แผน “นารีพิฆาต” ใช้หญิงงามที่ชื่อว่า “จิญจมาณวิกา” ศิษย์คนสำคัญของพวกเดียรถีย์มาเป็นเครื่องมือ
นางจิญจมาณวิกา ได้เริ่มทำตามแผนด้วยการปล่อยข่าวให้กับคนในสังคมหลงเชื่อ ใช้วิธีการในเวลามืดค่ำช่วงเย็น และยามเช้ารุ่งอรุณ ไปปรากฏตัวใกล้กับวัดพระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี จากนั้นเธอก็เข้าไปยังที่พำนักของพวกเดียรถีย์ที่อยู่ใกล้เคียงกับวัดพระเชตวัน โดยทำทีประหนึ่งว่าเธอเข้าไปนอนค้างแรมในวัดพระเชตวันที่พระพุทธองค์ประทับอยู่
นางจิญจมาณวิกาทำแบบนี้เป็นประจำ เมื่อผ่านไป ๑-๒ เดือน คนก็ถามว่าเธอจะไปไหน เธอก็ตอบไปว่า “ฉันจะไปนอนค้างคืนกับพระสมณโคดม ในพระคันธกุฎีที่วัดพระเชตวัน”
ผ่านไป ๓-๔ เดือน เธอนำผ้ามาผูกไว้ที่ท้องทำทีว่าเธอเริ่มตั้งครรภ์ และปล่อยข่าวลือให้คนเชื่อว่าเธอตั้งครรภ์กับพระพุทธองค์
และผ่านไป ๘-๙ เดือน เธอได้เอาท่อนไม้รองในมีผ้าเก่าพันท้องให้โตขึ้นเหมือนกับว่าตั้งครรภ์แก่ แล้วให้พวกเดียรถีย์เอาไม้มาทุบหลังมือ หลังเท้า ให้บวมเสมือนผู้หญิงตั้งครรภ์จวนจะคลอดแล้ว
อนึ่ง พวกนักบวชนอกศาสนา ยังใช้เครือข่ายที่ตนเองมีอยู่ ด้วยวิธีการเข้าไปหาบุคคล หรือเข้าไปตามชุมชน เพื่อปล่อยข่าวลือใส่ร้าย ป้ายสี ให้คนหลงเชื่อว่าสมณโคดมเสพเมถุน เล่นชู้กับนางจิญจมาณวิกา เพื่อจะโค่นล้มพระพุทธองค์ให้ได้
เมื่อแผนการและการปล่อยข่าวลือให้คนในสังคมได้หลงชื่อจนสุกงอมแล้ว จึงให้นางจิญจมาณวิกา เดินเข้าไปยืนตรงหน้าพระพักตร์ของพระพุทธองค์ขณะกำลังแสดงธรรมบนธรรมมาสน์ มีมหาชนนั่งฟังอยู่เป็นจำนวนมาก และเธอได้กล่าวขึ้นอย่างเสียงดังว่า
“ท่านอย่าดีแต่แสดงธรรมแก่มหาชน ตอนนี้ลูกของท่านในครรภ์หม่อมฉันใกล้คลอดแล้ว แม้ท่านจะไม่ดูแล แต่ควรบอกให้พระเจ้าโกศล อนาถบิณฑิกเศรษฐี หรือนางวิสาขา คนใดคนหนึ่งมาช่วยดูแลหม่อมฉันและลูกของท่านด้วย”
พระองค์ทรงหยุดแสดงพระธรรมเทศนา แล้วตรัสว่า “คำที่เธอกล่าวมา จะจริงหรือไม่ มีแต่เรากับเธอเท่านั้น ย่อมรู้”
นางจิญจมาณวิกา จึงตอบกลับทันใดว่า “ถูกต้องแล้ว คนอื่นจะรู้ได้อย่างไร มีแต่เราสองคนเท่านั้นที่รู้”
ในระหว่างนั้นมหาชนที่กำลังรับฟังพระธรรมเทศนาก็หลงเชื่อทันใด เพราะก่อนจะมาถึงวันนี้นางจิญจมาณวิกา ใช้แผนปล่อยข่าว หรือใช้สงครามข่าวกับสังคมจนคนหลงเชื่อว่าแอบคบหาและเป็นชู้กับพระพุทธองค์
แต่ทันใดนั้น เมื่อท้าวสักกะเทวราช ทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวัดพระเชตวัน จึงรีบเสด็จลงมาจากสวรรค์ แล้วสั่งการให้เทพบุตรแปลงกายเป็นหนูปีนเข้าไปกัดเชือกที่ผูกท่อนไม้ในท้องของนางจิญจมาณวิกา ท่อนไม้นั้นจึงหล่นลงมาทับปลายเท้าของเธอ และเกิดลมพัดเอาเสื้อของเธอให้ปลิวขึ้น
แผนการของเธอจึงถูกเปิดเผย ปรากฏต่อหน้ามหาชนว่าเธอไม่ได้ท้องจริง เป็นการใส่ความ ใส่ร้ายต่อพระองค์เท่านั้น มวลมหาชนที่อยู่ตรงนั้นพากันลุกฮือไล่ทุบตี ตะโกนด่า สาปแช่ง หยิบก้อนหิน หยิบไม้ วิ่งขับไล่ให้เธอออกไปจากวัดพระเชตวัน
พอเธอออกไปพ้นประตูวัดพระเชตวันเท่านั้น นางจิญจมาณวิกาได้ถูกแผ่นดินสูบทันที
และทุกท่านคงจะเชื่อเหมือนอาตมาไหมว่า หากในสมัยพุทธกาลมีสื่อเหมือนทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็น หนังสือพิมพ์, วิทยุ, โทรทัศน์, Facebook, Twitte, Line ฯ พวกนอกศาสนาเดียรถีย์ คงใช้สื่อเหล่านี้ หรือสื่อที่อยู่ในมือของตน ทำสงครามข่าวสารให้สังคมหลงเชื่อว่าพระพุทธองค์เสพเมถุนกับนางจิญจมาณวิกาจนตั้งครรภ์ เพื่อโค่นล้มพระพุทธเจ้าแน่นอน ?
อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ เหตุที่เท้าสักกะเทวราช ต้องรีบลงมาจากสวรรค์เพื่อมาช่วยพระพุทธองค์ เพราะเห็นว่าสถานการณ์เริ่มไม่ดีแล้ว มวลมหาชนที่อยู่ตรงนั้นเชื่อตามนางจิญจมาณวิกาพูดหมด ถ้าปล่อยให้นานไปจะทำให้เสื่อมเสียต่อพระพุทธศาสนาอย่างใหญ่หลวงตามมาได้
เพราะด้วยความเป็นสมณะ สถานการณ์เช่นนี้ไม่สามารถที่อธิบายอะไรได้ เพราะคนเชื่อปักใจแล้ว แม้จะอธิบายอะไรไป มวลมหาชนก็หาว่าพูดเพื่อแก้ตัวให้พ้นผิดเท่านั้น จึงเป็นเหตุให้เท้าสักกะเทวราช ต้องรีบมาช่วยพระพุทธองค์ให้ทันกาล
ตรงจุดนี้มีประเด็นที่พิจารณาต่อไปอีกว่า…
หากไม่มีเท้าสักกะเทวราชมาช่วย จะทำอย่างไรในสถานการณ์แบบนี้ เพราะตอนนั้นคนในสังคมหลงเชื่อตามที่นางจิญจมาณวิกาปล่อยข่าวตลอด ๘-๙ เดือนที่ผ่านมา
สถานการณ์แบบนี้ต้องอาศัยคนที่พร้อมด้วย “วิชาจรณะ” และ “วิสารทะ” คือ มีความรู้ ความสามารถ และมีความองอาจ อาจหาญ ที่จะกล้ามาเผชิญหน้ากับนางจิญจมาณวิกา เพื่อพิสูจน์ความจริง หรือเดินเข้าไปเปิดท้องให้มวลมหาชนอยู่ตรงนั้นเห็นกันไปเลยว่าท้องจริงไหม ไม่ใช่นิ่งเฉย หรือเชื่อตามที่นางจิญจมาณวิกากล่าวหา
ในเรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่าคนใดก็ตามที่กระทำอกุศลกับพระพุทธศาสนากรรมย่อมคืนสนองไม่ช้าก็เร็ว แต่สำหรับเรื่องนางจิญจมาณวิกา กรรมคืนสนองทันตาด้วยการถูกแผ่นดินสูบทันที
อาตมาจึงอยากเชิญชวนชาวพุทธมาร่วมกันถอดบทเรียนในเรื่องนี้ไปด้วยกัน เพราะการที่พวกเดียรถีย์ กระทำการเช่นนี้ก็คือเป็นวิถีของการประกาศศาสนาที่ต้องทำลายฝ่ายตรงข้าม แต่ผู้ที่เป็นชาวพุทธ ขาดการใคร่ครวญด้วยปัญญาอันชอบ กลับใช้สื่อด้วยอคติ ทำลายพระพุทธศาสนาโดยไม่รู้ตัว ด้วยทะนงตนว่าเป็นผู้รักษาศาสนา เลวร้ายยิ่งกว่าพวกเดียรถีย์นอกศาสนาเสียอีก”
สิ่งที่น่าเหลือเชื่อ คือเรื่องนางจิญจมาณวิกาเกิดขึ้นครั้งพุทธกาล ๒๖๐๐ กว่าปีมาแล้ว แต่ได้มาเกิดขึ้นในประเทศไทยในปี พ.ศ. ๒๕๐๓ เหมือนกันทุกอย่าง กรณีของ พระพิมลธรรม (อาจ อาสโภ)
พระพิมลธรรม เป็นพระสงฆ์ที่โดดเด่นในสังคมยุคนั้น และมีคนเลื่อมใส ศรัทธาเป็นอย่างมาก แต่ก็มีคนบางกลุ่มที่เกิดความอิจฉา และต้องการกำจัดหรือโค่นล้มท่าน เหมือนกับที่พวกนอกศาสนาเดียรถีย์กับนางจิญจมาณวิกาจะโค่นล้มพระพุทธเจ้าให้ได้
โดยใช้วิธีการเดียวกันคือปล่อยข่าวทางสื่อสำนักต่าง ๆ ว่าท่านปาราชิก และข้อหาที่หนักสุดในสมัยนั้นโดยกล่าวหาว่าท่านเป็น “คอมมิวนิสต์” ซึ่งเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ ข้อหากบฏโทษสูงสุดถึงขั้นประหารชีวิตคือจะเอาท่านให้ตายไปเลย
และท้ายที่สุดกลุ่มคนที่ใส่ร้ายและกลั่นแกล้งท่านก็ได้รับผลกรรมทันตาเหมือนนางจิญจมาณวิกา เพราะกลุ่มคนเหล่านั้นเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ
อาตมาเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่งในหอสมุดกลางมหาวิทยาลัยดังแถวสามย่านมีเรื่องอยู่ว่า “จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้นและพักรักษาตัวในโรงพยาบาล พอทราบความจริงว่าพระพิมลธรรมถูกกลั่นแกล้ง ท่านโกรธมาก พร้อมลั่นวาจาว่าหากท่านหายป่วยออกจากโรงพยาบาล จะดำเนินการกับกลุ่มคนที่กลั่นแกล้งพระพิมลธรรมอย่างเด็ดขาด แต่ท่านก็เสียชีวิตในโรงพยาบาลเสียก่อน”
เหตุการณ์ของหลวงพ่อพระพิมลธรรม (อาจ อาสโภ) ผ่านมา ๖๐ ปี เรื่องนี้ก็เกิดขึ้นในเมืองไทยอีกครั้งโดยมีการสร้างวาทกรรม “เงินทอนวัด” ในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ สื่อแต่ละสำนักก็ประโคมข่าวในมุมเดียวกันที่ว่าพระโกงเงิน หรือทุจริตเงินแผ่นดิน จนพระต้องตกเป็นจำเลยของสังคม และสังคมก็พิพากษาว่าพระผิดแล้ว เพียงแค่รับข่าวจากสื่อเท่านั้น โดยไม่ได้พิจารณาเลยว่าข่าวที่สื่อนำเสนอนั้นข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร หรือมีอะไรซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังหรือไม่
แต่อาตมาก็มองว่าไม่แปลกที่สังคมพิพากษาว่าพระผิดเพียงแค่เสพข้อมูล ข่าวสารจากสื่อ เพราะนี่คือวัฒนธรรมการเสพสื่อของสังคมไทย เพราะชื่อว่าข่าวที่สื่อนำเสนอเป็นข่าวที่กรองและเป็นจริงแล้ว แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ โดยเฉพาะข่าวที่เกี่ยวกับพระสงฆ์สังคมก็จะพิพากษาลงโทษประหารชีวิตท่านทันที
สำหรับคดีเงินทอนวัดนั้น ถ้าอธิบายโดยสรุปก็คือ “เมื่อวัดได้รับงบอุดหนุนจากรัฐแล้ว เงินบางส่วนได้ย้อน(ทอน)กลับไปให้เจ้าหน้าที่” แต่ที่ข่าวประโคมออกไปทำประหนึ่งว่าพระเป็นคนผิด และรับเงินนั้นเสียเอง
“อาตมาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องเสนอข่าวแบบนี้ ทั้งที่คำว่า “เงินทอนวัด” มันทอนกลับไปหาเจ้าหน้าที่ แต่กลับโยนความผิด และตราบาปนี้ให้กับคณะสงฆ์ ทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร ?”
ซึ่งข้อเท็จจริงที่เป็นจริง หรือความจริงที่รู้จักกันดีในคณะสงฆ์ กล่าวคือ เมื่อวัดได้รับงบอุดหนุนแล้ว ก็จะมีเจ้าหน้าที่มาพูดคุยกับเจ้าอาวาสวัดนั้น ๆ ว่าต้องขอเงินบางส่วนคืน เพื่อไปดำเนินการนั่นนี่แล้วแต่จะยกเหตุผลมาต่าง ๆ นานา
ด้วยการที่พระถือใจซื่อ และเชื่อว่าเจ้าของเงินเขาขอคืนก็ให้คืน เป็นการคืนเงินโดยสุจริตใจ ไม่คิดอะไรมากก็คืนเงินไปตามนั้น เพราะเจ้าอาวาสวัดในประเทศไทยคิดว่าเงินก็เป็นเงินของสำนักงานพุทธฯ อยู่แล้ว เขาจะถวายเท่าไหร่ จะเอากลับไปเท่าไหร่ก็เป็นเรื่องของเขา และปัจจัยที่นำมาสร้างเจดีย์ วิหาร ศาลาการเปรียญ ล้วนมาจากจิตศรัทธาของชาวบ้านและผู้ที่มีจิตศรัทธาทั่วไปทั้งนั้น ไม่ได้ใช้งบประมาณของรัฐเลย
นานทีปีหน หรืออาจจะเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่รัฐมีงบอุดหนุนมาช่วยพัฒนาวัดนั้น ๆ ท่านก็อนุโมทนาแล้ว จะเป็นงบประมาณมากหรือน้อยก็ถือว่าเป็นเงินที่รัฐนำมาทำบุญกับวัดไม่ต่างจากเงินทอดป่าผ้า เงินทอดกฐินของชาวบ้านเช่นกัน
อนึ่ง การทำงานขององค์กรสงฆ์หรือวัด เมื่อวัดได้รับงบอุดหนุนจากรัฐก็จะนำเงินมารวมเป็นเงินกองเดียวกันกับเงินที่พุทธศาสนิกชนมีจิตศรัทธาร่วมทำบุญมา เช่น วัดแห่งหนึ่งกำลังจัดสร้างอาคารโรงเรียนพระปริยัติธรรม ใช้งบประมาณในการก่อสร้าง จำนวน ๕๐ ล้านบาท เป็นความโชคดีปีนั้นสำนักงานพุทธฯ ให้งบอุดหนุนมา ๕ ล้านบาท และอีก ๔๕ ล้านบาท เจ้าอาวาสต้องหางบประมาณเองทั้งหมด
จารีตปฏิบัติการทำงานของวัดในข้อเท็จจริงเช่นนี้ก็จะนำงบอุดหนุน ๕ ล้านบาท กับงบประมาณที่เจ้าอาวาสต้องหาเอง ๔๕ ล้านบาท มารวมเป็นเงินก้อนเดียวกันเพื่อบริหารในการก่อสร้าง การกระทำเช่นนี้อย่าไปตีความว่าท่านฟอกเงินอย่างเด็ดขาด เพราะไม่ว่าเงินอะไรเมื่อถวายให้วัดก็คือเงินทำบุญ และวัดทั่วประเทศก็จะปฏิบัติเช่นนี้
อาตมาจึงตั้งข้อสังเกตว่าการสร้างวาทกรรม “เงินทอนวัด” ทำสงครามการข่าวสาร ให้สื่อสำนักต่าง ๆ ประโคมข่าวจนทำให้สังคมหลงเชื่อ และพระต้องตกเป็นจำเลยโดยสังคมทำหน้าที่พิพากษาไปแล้ว การกระทำเช่นมีแรงจูงใจเหมือนพวกนอกศาสนาเดียรถีย์กับนางจิญจมาณวิกาที่จะโค่นล้มพระพุทธเจ้าให้ได้ หรือกลุ่มคนที่กลั่นแกล้งพระพิมลธรรม (อาจ อาสโภ) ในข้อหาที่จะให้ท่านถูกประหารชีวิตกันเลย
โดยเฉพาะข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ “การจับกุมและดำเนินกระบวนการยุติธรรม” ภายใต้รัฐธรรมนูญไม่ว่า จะเป็นฆราวาสหรือพระสงฆ์ย่อมได้รับความคุ้มครองทางกฎหมายอย่างเสมอภาค และเท่าเทียมกัน ไม่เลือกปฏิบัติ หรือกระทำการด้วยความไม่มีอคติ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับคณะสงฆ์กลับไม่ได้รับความคุ้มครองสิทธิ ตามที่กฎหมาย บัญญัติไว้เลย ดังนี้
๑) มีการออกหมายจับ และเข้าจับกุมพระสงฆ์ทันที โดยไม่มีการแจ้งหมายเรียกให้ไปรับทราบข้อกล่าวหา และให้รับทราบข้อกล่าวหาตามกระบวนการยุติธรรมก่อน เมื่อเข้าจับกุมแล้ว ได้บังคับให้ท่านสละสมณะเพศ โดยที่ท่านไม่ได้กล่าวคำลาสิกขาแต่อย่างใด และไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว หรือให้ไปอยู่ในความอารักขาของ เจ้าอาวาสตามมาตรา ๒๙ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ แต่นำตัวท่านไปคุมขังในเรือนจำเป็นเวลาปีกว่า
๒) การกล่าวหาพระสงฆ์บางรูปในคดีอาญาจนต้องถูกกุมขังในเรือนจำเป็นแรมปี มาจากเรื่องงบประมาณ ปี พ.ศ. ๒๕๕๗ และดำเนินการเรื่องการใช้จ่ายงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ต่อศาล ตลอดจนขอออกหมายจับ,หมายขัง ด้วยเหตุดังกล่าว แต่เมื่อมีกระบวนการพิจารณาไต่สวนในชั้นศาล พระสงฆ์ต่อสู้คดีว่าไม่มีเรื่องการกระทำความผิด ในงบประมาณปี ๒๕๕๗
และปรากฏข้อเท็จจริงในคดีดังกล่าวว่าพระสงฆ์ไม่ได้กระทำความผิดตามที่ถูกฟ้อง จะต้องถอนฟ้องหรือพิจารณาพิพากษายกฟ้องทันที เพราะตามข้อกฎหมายแล้วเมื่อมีข้อเท็จจริงขึ้นใหม่เป็นเรื่องใหม่ จะต้องถอนฟ้อง คดีเดิม แล้วฟ้องเป็นคดีใหม่
แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่เพราะ ตำรวจ อัยการ และศาล กลับใช้วิธีการให้ตำรวจและอัยการทำการแจ้งข้อกล่าวหาใหม่ ที่เป็นเรื่องงบประมานปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ที่แตกต่างไปจากคดีเดิม นำมาพิจารณาแก้ไขคำฟ้องในคดีเดิมทั้งฉบับให้เป็นเรื่องใหม่อยู่ในคดีเดิม อันถือเป็นการดำเนินกระบวนการพิจารณาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยใช้วิธีเล่นคำว่า “เกิดความผิดหลง” บ้าง “ไม่ใช่การแจ้งข้อกล่าวหาใหม่ แต่เป็นแจ้งข้อเท็จจริงเพิ่มเติม” บ้าง หรือไม่ใช่แก้องค์ประกอบความผิดใหม่ แต่เป็นการเพิ่มเติมองค์ประกอบความผิดใหม่บ้าง
๓) ในกระบวนการพิจารณาไต่สวนของศาลอาญาคดีทุจริตและพระพฤติมิชอบ ปิดโอกาสการเสนอพยานหลักฐานของพระสงฆ์ ในการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ เพราะศาลอ้างอำนาจตามกฎหมายวิธีพิจารณาความคดีทุจริตและประพฤติมิชอบว่าศาลเป็นผู้ใช้ดุลพินิจจะอนุญาตให้เสนอพยานหลักฐานได้หรือไม่
เพราะถ้าหากพระสงฆ์นำเสนอพยานหลักฐานได้สมบูรณ์ จะสามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ที่จะนำไปสู่การตัดสินยกฟ้องคดีได้ จึงเป็นกระบวนการพิจารณาที่ไม่เป็นธรรมกับพระสงฆ์
“นี่เป็นเพียงข้อเท็จจริงบางส่วนของการบังคับใช้กฎหมายในกระบวนการยุติธรรมกับพระสงฆ์ที่ถูกกล่าวหาในคดีอาญาที่ชี้ให้เห็นว่าการดำเนินการดังกล่าวอาจจะมีอคติ ไม่เที่ยงธรรม ไม่ยุติธรรม ไม่เสมอภาค”
อนึ่ง มีเรื่องเล่าในคณะสงฆ์ว่าคดีที่เกิดขึ้นกับพระสงฆ์ตอนนี้ มันอาจจะเป็นกรรมเก่าของท่านที่ต้องมาชดใช้กรรมในชาตินี้ เพราะตอนนี้กลุ่มบุคคลผู้ไม่ประสงค์ดีเหมือนขึ้นหลังเสือแล้วลงไม่ได้ หรือแม้ว่าจะหาที่ลงก็ลงไม่ได้ เพราะต้องมีคนผิด ถ้าไม่มีคนผิด สังคมก็จะเกิดคำถามตามมาว่าที่ประโคมข่าวอย่างครึกโครม และจับพระสงฆ์ไปติดคุกตั้งปีกว่า หมายความว่าอย่างไร ?
แต่สำหรับอาตมาเห็นว่าบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่าสร้างกรรมหนักให้ตนเองเลย การก่อเวรสร้างกรรมกับพระสงฆ์ในครั้งนี้ไม่เฉพาะตัวท่านเท่านั้น แต่ทั้ง พ่อ แม่ สามี ภรรยา ลูก คนในตระกูลของท่านก็ต้องได้รับผลกรรมหนักนี้ไปด้วย และชีวิตในตระกูลของท่านในชาติปัจจุบันนี้จะไม่มีวันพบคำว่า “ความสุข” ได้เลย
เรื่องกรรมนี้เห็นได้ชัดเจนแล้วที่นางจิญจมาณวิกาต้องการโค่นล้มพระพุทธเจ้าก็ถูกแผ่นดินสูบ กลุ่มคนที่กลั่นแกล้งพระพิมลธรรมก็เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ อย่าให้ประวัติศาสตร์เรื่องกรรมมันซ้ำรอยอีกเลย อาตมาพูดด้วยความเป็นห่วงจริง ๆ
เรื่องของกรรม(การกระทำทางกาย วาจา และใจ)มันเป็นกฎธรรมชาติ ไม่ว่าจะแตกต่างกันทางเชื้อชาติ ศาสนา และความเชื่อ “แต่ถ้ามนุษย์กระทำเช่นใด ย่อมได้รับผลเช่นนั้น ไม่ว่าเราจะทำดี หรือชั่ว จะทำมากหรือทำน้อย ย่อมส่งผลถึงตัวเราและคนรอบข้างเสมอ ไม่ช้าก็เร็ว” เพราะนี้ คือกฎแห่งความเป็นจริง มันคือสัจธรรม
อาตมาจึงเสนอทางออกของเรื่องนี้ง่าย ๆ โดยยึดตามหลักการของพระพุทธองค์ เมื่อเหตุเกิดที่ใด ก็ไปดับที่ต้นเหตุนั้น เรื่องนี้ต้นเหตุมาจากไหน ก็ให้เขาเป็นคนแก้เอง เพราะเขาเป็นผู้สร้างเหตุนี้ขึ้นมา
และสิ่งที่อาตมาอยากชวนสังคมมาร่วมค้นหาความจริง จากวาทกรรม “เงินทอนวัด” นั้น ทำไมถึงมุ่งตรวจสอบแต่งบอุดหนุนการศึกษาและการเผยแผ่ เพราะข้อเท็จจริงคือมีการออกคำสั่งให้ตรวจสอบงบอุดหนุนต่าง ๆ รวมทั้งงบอุดหนุนการปฏิสังขรณ์ด้วย แต่งบอุดหนุนการปฏิสังขรณ์ กลับไม่ปรากฎว่า มีการดำเนินการต่อ
มีการเล่ากันในคณะสงฆ์ว่าเหตุที่ต้องหยุดและไม่ดำเนินการต่อเรื่องงบอุดหนุนปฏิสังขรณ์นั้น เพราะไปเจอข้อเท็จจริงบางอย่าง !!
จึงเป็นเหตุให้ต้องหยุดดำเนินการตรวจสอบงบอุดหนุน “การปฏิสังขรณ์” เพราะพบข้อเท็จจริงว่าได้มีการนำงบอุดหนุนปฏิสังขรณ์ จำนวน ๕๐ ล้านบาท ไปจัดพิมพ์หนังสือที่ระลึก และได้นำงบอุดหนุนกว่า ๑๐๐ ล้านบาท ไปดำเนินการจัดเตรียมงานสำคัญบางอย่างของคณะสงฆ์ แล้วท่านล่ะ สงสัยเหมือนอาตมาหรือไม่ว่าเป็นงานอะไร ?
ดังนั้น ถ้าข้อเท็จจริงปรากฏเป็นเช่นนี้ ยิ่งแสดงเจตนาให้เห็นว่าวาทกรรม “เงินทอนวัด” ที่สร้างขึ้นด้วยการประโคมข่าว หรืออาจจะเรียกว่าใช้สงครามสื่อ เพื่อทำให้สังคมหลงเชื่อตามนั้น สังคมก็จะมาเป็นแรงหนุนในการที่จะโคนล้มพระสงฆ์บางรูป บางวัด เหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต คือนางจิญจมาณวิกาต้องการโค่นล้มพระพุทธเจ้า หรือคนบางกลุ่มที่กลั่นแกล้งพระพิมลธรรม ถึงขั้นจะให้ถูกประหารชีวิต
หรือว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการใช้ยุทธศาสตร์ “ร้องทักษิณ ตีบูรพา” กล่าวคือประโคมข่าว เผยแพร่ข้อเท็จจริงที่เป็นเท็จพร้อมกล่าวหาวัดนั้น วัดนี้ จนสังคมหลงเชื่อว่ามีการทุจริตเกิดขึ้นจริงในวัด แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่วัตถุประสงค์หลัก เป็นแต่เพียงการโหมโรง ที่นำไปสู่เป้าหมายหลักที่ต้องการสร้างเหตุเพื่อโค่นล้มบางวัดเท่านั้น