จำไว้ว่า “ความทุกข์” และ “ความเจ็บปวด” ทั้งมวล
ไม่ได้ผ่านเข้ามาในชีวิตเราเพื่อมอบ “คำสาป”
แต่มันผ่านเข้ามาในชีวิตเราเพื่อมอบ “คำสอน”

หลวงปู่สุข โกวิโท

พระครูพิสุทธิ์พรหมวิหาร (หลวงปู่สุข โกวิโท) ขอขอบคุณ เรื่องและภาพจากศิษยานุศิษย์ หลวงปู่สุข โกวิโท
พระครูพิสุทธิ์พรหมวิหาร (หลวงปู่สุข โกวิโท) ขอขอบคุณ เรื่องและภาพจากศิษยานุศิษย์ หลวงปู่สุข โกวิโท

น้อมเศียรเกล้า อาเศียรวาท

กราบสรีรสังขาร

“หลวงปู่สุข โกวิโท”

พระผู้สานสร้าง…ทางพระพุทธศาสนา

(๒) ศึกษาและปฎิบัติธรรม

กับ “หลวงปู่คำมี พุทธสาโร”

พระอาจารย์ของพระอุปัชฌาย์

พระครูพิสุทธิ์พรหมวิหาร (หลวงปู่สุข โกวิโท) ขอขอบคุณ เรื่องและภาพจากศิษยานุศิษย์  หลวงปู่สุข โกวิโท
พระครูพิสุทธิ์พรหมวิหาร (หลวงปู่สุข โกวิโท) ขอขอบคุณ เรื่องและภาพจากศิษยานุศิษย์ หลวงปู่สุข โกวิโท

หลวงปู่สุข โกวิโท ท่านอาพาธต่อเนื่องบนเตียงอยู่ นับได้สิบกว่าปีมาแล้ว แต่ท่านได้สอนลูกศิษย์ที่มีร่างกายปกติ แต่จิตใจพิการให้ดำเนินชีวิตไปได้ ด้วยจิตวิญญาณที่มีสติและปัญญา เพราะท่านเชื่อใจในทุกชีวิต ว่าสามารถยกระดับความกระด้างของจิตให้กระจ่างแจ้งในธรรมได้

เพราะโลกนี้มันเป็นของมันอย่างนั้น จิตใจของปุถุชนจึงคับแคบนัก แต่จิตใจเพื่อคนอื่นมันกว้างใหญ่ แม้สังขารหลวงปู่สุขถูกบีบคั้นด้วยโรคภัย ก็ยังต้องช่วยเหลือคนอื่น เพราะการเห็นคนอื่นขึ้นสวรรค์มาได้ ก็เป็นบุญ เป็นประโยชน์ ไม่มีโทษ…

พระครูพิสุทธิ์พรหมวิหาร (หลวงปู่สุข โกวิโท) ขอขอบคุณ เรื่องและภาพจากศิษยานุศิษย์  หลวงปู่สุข โกวิโท
พระครูพิสุทธิ์พรหมวิหาร (หลวงปู่สุข โกวิโท) ขอขอบคุณ เรื่องและภาพจากศิษยานุศิษย์ หลวงปู่สุข โกวิโท

 พระครูพิสุทธิ์พรหมวิหาร (หลวงปู่สุข โกวิโท) แห่งวัดป่าพรหมนิมิต จังหวัดศรีสะเกษ พระกัมมัฏฐานผู้มีปฏิปทาอันงดงาม เต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตา และมีความนิ่งสงบเย็นเป็นสรณะ เคร่งครัดในข้อวัตรปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างยิ่งยวด ได้ละสังขารที่โรงพยาบาลศรีสะเกษ เมื่อวันศุกร์ที่ ๑๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๓ เวลา ๑๕.๓๐ น. หลังจากท่านอาพาธด้วยโรคหัวใจและปอดมากว่า ๑๓ ปี แล้วเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลศรีสะเกษอยู่ระยะหนึ่ง จนกระทั่งมรณภาพอย่างสงบ สิริรวมอายุ ๘๗ ปี ๕๗ พรรษา โดยจะมีพิธีพระราชทานเพลิงศพในวันอาทิตย์ที่ ๒๑ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๓

ความเดิมตอนที่แล้ว

หลวงปู่สุขเล่าว่า ช่วงบวชใหม่ๆ ใช้วิธีการสร้างพระเนื้อดินถวายหลวงปู่เครื่องเพื่อฝังกรุบ้าง แจกบ้างในสมัยนั้น โดยการกำหนดจิตให้เป็นสมาธิในการกดแม่พิมพ์พระให้มีสติอยู่ตลอดเวลาเป็นการฝึกของท่านวิธีหนึ่งในสมัยนั้น และช่วงพรรษาใหม่ท่านจะถูกดูถูก หาว่าเป็นพระบ้าบ้าง ทำเป็นเคร่งครัดบ้าง แต่หลวงปู่ท่านก็มิได้สนใจคำเหล่านั้น ตั้งหน้าตั้งตาทำงาน และปฎิบัติอย่างเดียว

หลวงปู่เครื่อง สุภัทโท หรือ พระมงคลวุฒ อดีตเจ้าอาวาสวัดสระกำแพงใหญ่ ตำบลสระกำแพงใหญ่ อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ พระอุปัชฌาย์ของท่านจึงถ่ายทอดวิชาความรู้ให้ แต่ช่วงเวลานั้นก็ยังไม่สะดวกเท่าที่ควร เพราะหลวงปู่เครื่องท่านอาพาธหนักอยู่ ท่านจึงได้ส่งให้หลวงปู่สุข ไปเรียนรู้เพิ่มเติมกับพระอาจารย์ของท่านอีกรูปหนึ่ง คือ หลวงปู่คำมี พุทธสาโร วัดถ้ำคูหาสวรรค์ จังหวัดลพบุรี

หลวงปู่คำมี พุทธสาโร วัดถ้ำคูหาสวรรค์ จังหวัดลพบุรี
หลวงปู่คำมี พุทธสาโร วัดถ้ำคูหาสวรรค์ จังหวัดลพบุรี

ศึกษาและปฎิบัติธรรม

กับพระอาจารย์ของพระอุปัชฌาย์

หลวงปู่คำมี พุทธสาโร

วัดถ้ำคู่หาสวรรค์ จังหวัดลพบุรี

เมืองลพบุรี มีสุดยอดพระเกจิมากมาย ซึ่งยังคงสืบทอดกันมาไม่ขาดสายตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน  ยอดพระเกจิในยุคหลังปีพุทธศักราช ๒๕๐๐-๒๕๒๐ ที่เป็นระดับแนวหน้าคงหนีไม่พ้นหลวงปู่คำมี พุทธสาโร วัดถ้ำคูหาสวรรค์ หลวงพ่อพริ้ง วัดโบสถ์โก่งธนู หลวงพ่อบุญมี วัดเขาสมอคอน เป็นต้น

หลวงปู่คำมี วัดถ้ำคูหาสวรรค์ นับเป็นพี่ใหญ่ขอยอดพระเกจิในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๐๐ – ๒๕๒๐ ในงานปลุกเสกพระเครื่องของวัดต่างๆ ในลพบุรีและใกล้เคียงสมัยนั้น  ถ้ามีการนิมนต์หลวงปู่คำมี หลวงพ่อพริ้ง และหลวงพ่อบุญมี มาร่วมงานพร้อมกัน หลวงปู่คำมีจะได้รับเกียรติให้เป็นผู้นำของพระสายลพบุรี เพราะว่ามีคุณวุฒิและอาวุโสสูงสุด  หลวงปู่คำมี เป็นพระไม่ธรรมดาเก่งทั้งด้านวิชาอาคมและวิปัสสนากรรมฐาน ท่านเป็นหนึ่งในศิษย์ของสมเด็จลุน แห่งนครจำปาสัก ได้รับการถ่ายทอดวิชาจนหมดสิ้นจากสมเด็จลุน ตั้งแต่ยังเป็นสามเณรและได้ศึกษาวิชากับหลวงปู่สีทัตถ์ วัดท่าอุเทน จังหวัดนครพนม

นอกจากนี้ท่านยังได้เรียนวิปัสสนากรรมฐานกับหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล พระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสนากรรมฐานอีกด้วย ซึ่งหลวงปู่เสาร์มีความเชี่ยวชาญแก่กล้าทางด้านกสิณเป็นอันมาก โดยเน้นให้ความสำคัญทางด้านกสิณ ๔ อันเป็นปฐมของธาตุทั้งมวลในโลก คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ซึ่งหลวงปู่คำมีได้ยึดเป็นแนวทางปฏิบัติในการตั้งธาตุปลุกเสกวัตถุมงคลในกาลต่อมา เพื่อเป็นกำลังใจให้กับผู้คนในกองทุกข์ให้ได้มีสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจแล้วน้อมนำไปสู่การปฏิบัติธรรมเพื่อเข้าถึงพระรัตนตรัยอันเป็นที่พึ่งทื่ระลึกอย่างสูงสุดจนกว่าจะสามารถพึ่งตนพึ่งธรรมที่ปรากฏในใจตนเองได้

หลวงปู่คำมี เป็นพระเถระที่มีอายุยืนยาวถึง ๑๐๘ ปี มรณภาพเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๔ เป็นครูบาอาจารย์อีกหนึ่งรูปที่สังขารไม่เน่าเปื่อย

พระครูพิสุทธิ์พรหมวิหาร (หลวงปู่สุข โกวิโท) ขอขอบคุณ เรื่องและภาพจากศิษยานุศิษย์  หลวงปู่สุข โกวิโท
พระครูพิสุทธิ์พรหมวิหาร (หลวงปู่สุข โกวิโท) ขอขอบคุณ เรื่องและภาพจากศิษยานุศิษย์ หลวงปู่สุข โกวิโท

ครั้งเมื่อหลวงปู่สุข ท่านศึกษาเล่าเรียนและอยู่ดูแลอุปัฏฐากหลวงปู่เครื่องจนมีอาการดีขึ้นพอสมควรแล้ว หลวงปู่สุขหรือพระสุขในขณะนั้นก็กราบลาหลวงปู่เครื่องเพื่อจะออกธุดงค์ หาความสงบของกายและใจต่อไป จึงได้เดินทางมุ้งหน้าสู่จังหวัดลพบุรีเพื่อไปหาหลวงปู่คำมี พุทธสาโร แห่งวัดถ้ำคู่หาสวรรค์ เพื่อขอศึกษาหาความรู้ตามคำแนะนำของหลวงปู่เครื่อง  ซึ่งหลวงปู่สุขท่านก็รู้จักและเคยพบหลวงปู่คำมีมาก่อนแล้ว เพราะหลวงปู่คำมีท่านเคยมาที่วัดสระกำแพงใหญ่ 

หลังจากที่ได้ไปอยู่กับหลวงปู่คำมี ที่วัดถ้ำคูหาสวรรค์นี้  มีญาติของหลวงปู่ ท่านได้มาอยู่กับหลวงปู่คำมีก่อน ชื่อว่าพระอาจารย์หวาน หรือพระอาจารย์หวั่น ส่วนหลวงปู่คำมีท่านจะเรียกว่าหวาน เป็นศิษย์รุ่นพี่ที่อยู่ใกล้ชิดหลวงปู่คำมีตลอด ส่วนหลวงปู่สุขท่านจะเทียวไปเทียวมา เดินธุดงค์มาหาบ้างขึ้นรถมาหาบ้าง

ช่วงเวลาที่อยู่ศึกษากับหลวงปู่คำมี  หลวงปู่สุขท่านก็ตั้งใจปฏิบัติเจริญภาวนาศึกษาธรรมจนเป็นที่พอใจแล้วจึงได้กราบลาหลวงปู่คำมีเพื่อธุดงค์ต่อไป แต่ก็ยังไปมาหาสู่เป็นประจำ จนกระทั่งหลวงปู่คำมีท่านมรณภาพ และได้มีโอกาสกลับไปอีกครั้ง เนื่องจากกลับขึ้นไปพาตัวพระอาจารย์หวานที่เป็นญาติและเป็นศิษย์รุ่นพี่กลับมารักษาตัวที่บ้านเกิดที่จังหวัดศรีสะเกษ หลังจากนั้นก็ไม่ได้มีโอกาสกลับไปอีกเลย 

วิชาหลักที่ได้ศึกษากับหลวงปู่คำมีคือวิชาเกี่ยวกับการตั้งธาตุ หนุนธาตุ เปลี่ยนธาตุของธาตุทั้งสี่ และหลักการเจริญพระกรรมฐาน จนหลวงปู่คำมีท่านบอกกับหลวงปู่ว่า “ถ้าท่านอยากเรียนวิชาอะไรกับผม ผมจะสอนให้หมดทุกอย่าง” แต่หลวงปู่ท่านก็ได้ตอบหลวงปู่คำมีไปว่า

“ผมไม่เอาหรอกครับ ที่มีอยู่ก็แบกหนักพอแล้ว ถือหนักพอแล้ว ไม่รู้จะถือแบกหามไปทำอะไรหนักหนาแล้ว เอาแนวพ้นทุกข์ดีกว่า ไม่ต้องถืออะไรดี เบาดี”

หลวงปู่คำมีท่านนิ่งมองดูหน้าหลวงปู่แล้วพูดว่า

“จิตท่านดีแล้ว ทำถูกแล้ว” 

   เรื่องความอัศจรรย์ของหลวงปู่คำมี หลวงปู่สุขท่านเล่าว่ามีมาก เช่น ย่นระยะทาง หายตัว ฝนตกไม่เปียก  และมีวาจาสิทธิ์  เป็นต้น

พระครูพิสุทธิ์พรหมวิหาร (หลวงปู่สุข โกวิโท) ขอขอบคุณ เรื่องและภาพจากศิษยานุศิษย์ หลวงปู่สุข โกวิโท
พระครูพิสุทธิ์พรหมวิหาร (หลวงปู่สุข โกวิโท) ขอขอบคุณ เรื่องและภาพจากศิษยานุศิษย์ หลวงปู่สุข โกวิโท

มารผจญคิดลาสิกขา

หลวงปู่สุข โกวิโท คิดจะลาสิขาหลายครั้งหลายคราในช่วงบวชใหม่ๆ เพราะมีโยมผู้หญิงมาขอร้องให้สึกออกไปอยู่ด้วย ถึงขั้นเตรียมเสื้อผ้ามาให้พร้อมสึกไปช่วยกันประกอบอาชีพค้าขาย และช่วงนั้นมีการเปิดสอบตำรวจบรรจุพลใหม่ แต่หลวงปู่เครื่องท่านมิให้สึกว่า “ตำรวจมันสอบยาก” หลวงปู่สุขท่านจึงว่า “งั้นก็จะสึกไปสอบครู” หลวงปู่เครื่องก็บอกว่า “พูดกับเด็กมันพูดยาก สอนยาก” หลวงปู่เครื่องท่านจึงไล่หลวงปู่ให้เข้าป่าไป ให้จิตมันหายฟุ้งซ่านที่คิดจะสึกให้หายไปก่อน หลวงปู่เครื่องท่านพูดดึงสติหลวงปู่ไว้ว่า “เป็นโยมมันมีแต่จะทุกข์ยังอยากจะออกไปอีกหรือ บ่ อยากพ้นทุกข์บ่”

หลวงปู่จึงตัดสินใจไม่สึกแล้วออกเดินธุดงค์มุ่งหน้าสู่จังหวัดอุบลราชธานีต่อไป นับได้ว่าหลวงปู่เครื่องท่านเป็นดังพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่ค่อยประคับประคองหลวงปู่สุขให้อยู่ในร่มกาสาวพัสตร์มาโดยตลอด ในช่วงที่บวชใหม่ๆ และ หลวงปู่คำมี พุทธสาโร ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของหลวงปู่เครื่อง พระอุปัชฌาย์ของท่าน ก็เป็นพระอาจารย์อีกองค์หนึ่งที่เมตตาถ่ายทอดวิชากัมมัฏฐานแยกธาตุแยกขันธ์ให้กับหลวงปู่สุขในการฟาดฟันกับกิเลสจนหมดสิ้นไปจากจิตใจตามรอยธรรมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปจนสุดทางทุกข์ในที่สุด

น้อมเศียรเกล้า ถวายความอาลัย

กราบสรีรสังขาร “หลวงปู่สุข โกวิโท”

พระสุปฏิปันโนผู้สิ้นทุกข์ในสังสารวัฏ

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

ขอขอบคุณ เรื่องและภาพจากศิษยานุศิษย์ หลวงปู่สุข โกวิโท

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here