จำไว้ว่า “ความทุกข์” และ “ความเจ็บปวด” ทั้งมวล
ไม่ได้ผ่านเข้ามาในชีวิตเราเพื่อมอบ “คำสาป”
แต่มันผ่านเข้ามาในชีวิตเราเพื่อมอบ “คำสอน”
หลวงปู่สุข โกวิโท
![พระครูพิสุทธิ์พรหมวิหาร (หลวงปู่สุข โกวิโท) ขอขอบคุณ เรื่องและภาพจากศิษยานุศิษย์ หลวงปู่สุข โกวิโท](https://www.manasikul.com/wp-content/uploads/2020/06/S__704516.jpg)
น้อมเศียรเกล้า อาเศียรวาท
กราบสรีรสังขาร
“หลวงปู่สุข โกวิโท”
พระผู้สานสร้าง…ทางพระพุทธศาสนา
(๒) ศึกษาและปฎิบัติธรรม
กับ “หลวงปู่คำมี พุทธสาโร”
พระอาจารย์ของพระอุปัชฌาย์
![พระครูพิสุทธิ์พรหมวิหาร (หลวงปู่สุข โกวิโท) ขอขอบคุณ เรื่องและภาพจากศิษยานุศิษย์ หลวงปู่สุข โกวิโท](https://www.manasikul.com/wp-content/uploads/2020/06/S__696434-830x1024.jpg)
หลวงปู่สุข โกวิโท ท่านอาพาธต่อเนื่องบนเตียงอยู่ นับได้สิบกว่าปีมาแล้ว แต่ท่านได้สอนลูกศิษย์ที่มีร่างกายปกติ แต่จิตใจพิการให้ดำเนินชีวิตไปได้ ด้วยจิตวิญญาณที่มีสติและปัญญา เพราะท่านเชื่อใจในทุกชีวิต ว่าสามารถยกระดับความกระด้างของจิตให้กระจ่างแจ้งในธรรมได้
เพราะโลกนี้มันเป็นของมันอย่างนั้น จิตใจของปุถุชนจึงคับแคบนัก แต่จิตใจเพื่อคนอื่นมันกว้างใหญ่ แม้สังขารหลวงปู่สุขถูกบีบคั้นด้วยโรคภัย ก็ยังต้องช่วยเหลือคนอื่น เพราะการเห็นคนอื่นขึ้นสวรรค์มาได้ ก็เป็นบุญ เป็นประโยชน์ ไม่มีโทษ…
![พระครูพิสุทธิ์พรหมวิหาร (หลวงปู่สุข โกวิโท) ขอขอบคุณ เรื่องและภาพจากศิษยานุศิษย์ หลวงปู่สุข โกวิโท](https://www.manasikul.com/wp-content/uploads/2020/06/S__696431.jpg)
พระครูพิสุทธิ์พรหมวิหาร (หลวงปู่สุข โกวิโท) แห่งวัดป่าพรหมนิมิต จังหวัดศรีสะเกษ พระกัมมัฏฐานผู้มีปฏิปทาอันงดงาม เต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตา และมีความนิ่งสงบเย็นเป็นสรณะ เคร่งครัดในข้อวัตรปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างยิ่งยวด ได้ละสังขารที่โรงพยาบาลศรีสะเกษ เมื่อวันศุกร์ที่ ๑๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๓ เวลา ๑๕.๓๐ น. หลังจากท่านอาพาธด้วยโรคหัวใจและปอดมากว่า ๑๓ ปี แล้วเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลศรีสะเกษอยู่ระยะหนึ่ง จนกระทั่งมรณภาพอย่างสงบ สิริรวมอายุ ๘๗ ปี ๕๗ พรรษา โดยจะมีพิธีพระราชทานเพลิงศพในวันอาทิตย์ที่ ๒๑ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๓
ความเดิมตอนที่แล้ว
หลวงปู่สุขเล่าว่า ช่วงบวชใหม่ๆ ใช้วิธีการสร้างพระเนื้อดินถวายหลวงปู่เครื่องเพื่อฝังกรุบ้าง แจกบ้างในสมัยนั้น โดยการกำหนดจิตให้เป็นสมาธิในการกดแม่พิมพ์พระให้มีสติอยู่ตลอดเวลาเป็นการฝึกของท่านวิธีหนึ่งในสมัยนั้น และช่วงพรรษาใหม่ท่านจะถูกดูถูก หาว่าเป็นพระบ้าบ้าง ทำเป็นเคร่งครัดบ้าง แต่หลวงปู่ท่านก็มิได้สนใจคำเหล่านั้น ตั้งหน้าตั้งตาทำงาน และปฎิบัติอย่างเดียว
หลวงปู่เครื่อง สุภัทโท หรือ พระมงคลวุฒ อดีตเจ้าอาวาสวัดสระกำแพงใหญ่ ตำบลสระกำแพงใหญ่ อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ พระอุปัชฌาย์ของท่านจึงถ่ายทอดวิชาความรู้ให้ แต่ช่วงเวลานั้นก็ยังไม่สะดวกเท่าที่ควร เพราะหลวงปู่เครื่องท่านอาพาธหนักอยู่ ท่านจึงได้ส่งให้หลวงปู่สุข ไปเรียนรู้เพิ่มเติมกับพระอาจารย์ของท่านอีกรูปหนึ่ง คือ หลวงปู่คำมี พุทธสาโร วัดถ้ำคูหาสวรรค์ จังหวัดลพบุรี
![หลวงปู่คำมี พุทธสาโร วัดถ้ำคูหาสวรรค์ จังหวัดลพบุรี](https://www.manasikul.com/wp-content/uploads/2020/06/S__704528.jpg)
ศึกษาและปฎิบัติธรรม
กับพระอาจารย์ของพระอุปัชฌาย์
หลวงปู่คำมี พุทธสาโร
วัดถ้ำคู่หาสวรรค์ จังหวัดลพบุรี
เมืองลพบุรี มีสุดยอดพระเกจิมากมาย ซึ่งยังคงสืบทอดกันมาไม่ขาดสายตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ยอดพระเกจิในยุคหลังปีพุทธศักราช ๒๕๐๐-๒๕๒๐ ที่เป็นระดับแนวหน้าคงหนีไม่พ้นหลวงปู่คำมี พุทธสาโร วัดถ้ำคูหาสวรรค์ หลวงพ่อพริ้ง วัดโบสถ์โก่งธนู หลวงพ่อบุญมี วัดเขาสมอคอน เป็นต้น
หลวงปู่คำมี วัดถ้ำคูหาสวรรค์ นับเป็นพี่ใหญ่ขอยอดพระเกจิในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๐๐ – ๒๕๒๐ ในงานปลุกเสกพระเครื่องของวัดต่างๆ ในลพบุรีและใกล้เคียงสมัยนั้น ถ้ามีการนิมนต์หลวงปู่คำมี หลวงพ่อพริ้ง และหลวงพ่อบุญมี มาร่วมงานพร้อมกัน หลวงปู่คำมีจะได้รับเกียรติให้เป็นผู้นำของพระสายลพบุรี เพราะว่ามีคุณวุฒิและอาวุโสสูงสุด หลวงปู่คำมี เป็นพระไม่ธรรมดาเก่งทั้งด้านวิชาอาคมและวิปัสสนากรรมฐาน ท่านเป็นหนึ่งในศิษย์ของสมเด็จลุน แห่งนครจำปาสัก ได้รับการถ่ายทอดวิชาจนหมดสิ้นจากสมเด็จลุน ตั้งแต่ยังเป็นสามเณรและได้ศึกษาวิชากับหลวงปู่สีทัตถ์ วัดท่าอุเทน จังหวัดนครพนม
นอกจากนี้ท่านยังได้เรียนวิปัสสนากรรมฐานกับหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล พระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสนากรรมฐานอีกด้วย ซึ่งหลวงปู่เสาร์มีความเชี่ยวชาญแก่กล้าทางด้านกสิณเป็นอันมาก โดยเน้นให้ความสำคัญทางด้านกสิณ ๔ อันเป็นปฐมของธาตุทั้งมวลในโลก คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ซึ่งหลวงปู่คำมีได้ยึดเป็นแนวทางปฏิบัติในการตั้งธาตุปลุกเสกวัตถุมงคลในกาลต่อมา เพื่อเป็นกำลังใจให้กับผู้คนในกองทุกข์ให้ได้มีสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจแล้วน้อมนำไปสู่การปฏิบัติธรรมเพื่อเข้าถึงพระรัตนตรัยอันเป็นที่พึ่งทื่ระลึกอย่างสูงสุดจนกว่าจะสามารถพึ่งตนพึ่งธรรมที่ปรากฏในใจตนเองได้
หลวงปู่คำมี เป็นพระเถระที่มีอายุยืนยาวถึง ๑๐๘ ปี มรณภาพเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๔ เป็นครูบาอาจารย์อีกหนึ่งรูปที่สังขารไม่เน่าเปื่อย
![พระครูพิสุทธิ์พรหมวิหาร (หลวงปู่สุข โกวิโท) ขอขอบคุณ เรื่องและภาพจากศิษยานุศิษย์ หลวงปู่สุข โกวิโท](https://www.manasikul.com/wp-content/uploads/2020/06/S__696429.jpg)
ครั้งเมื่อหลวงปู่สุข ท่านศึกษาเล่าเรียนและอยู่ดูแลอุปัฏฐากหลวงปู่เครื่องจนมีอาการดีขึ้นพอสมควรแล้ว หลวงปู่สุขหรือพระสุขในขณะนั้นก็กราบลาหลวงปู่เครื่องเพื่อจะออกธุดงค์ หาความสงบของกายและใจต่อไป จึงได้เดินทางมุ้งหน้าสู่จังหวัดลพบุรีเพื่อไปหาหลวงปู่คำมี พุทธสาโร แห่งวัดถ้ำคู่หาสวรรค์ เพื่อขอศึกษาหาความรู้ตามคำแนะนำของหลวงปู่เครื่อง ซึ่งหลวงปู่สุขท่านก็รู้จักและเคยพบหลวงปู่คำมีมาก่อนแล้ว เพราะหลวงปู่คำมีท่านเคยมาที่วัดสระกำแพงใหญ่
หลังจากที่ได้ไปอยู่กับหลวงปู่คำมี ที่วัดถ้ำคูหาสวรรค์นี้ มีญาติของหลวงปู่ ท่านได้มาอยู่กับหลวงปู่คำมีก่อน ชื่อว่าพระอาจารย์หวาน หรือพระอาจารย์หวั่น ส่วนหลวงปู่คำมีท่านจะเรียกว่าหวาน เป็นศิษย์รุ่นพี่ที่อยู่ใกล้ชิดหลวงปู่คำมีตลอด ส่วนหลวงปู่สุขท่านจะเทียวไปเทียวมา เดินธุดงค์มาหาบ้างขึ้นรถมาหาบ้าง
ช่วงเวลาที่อยู่ศึกษากับหลวงปู่คำมี หลวงปู่สุขท่านก็ตั้งใจปฏิบัติเจริญภาวนาศึกษาธรรมจนเป็นที่พอใจแล้วจึงได้กราบลาหลวงปู่คำมีเพื่อธุดงค์ต่อไป แต่ก็ยังไปมาหาสู่เป็นประจำ จนกระทั่งหลวงปู่คำมีท่านมรณภาพ และได้มีโอกาสกลับไปอีกครั้ง เนื่องจากกลับขึ้นไปพาตัวพระอาจารย์หวานที่เป็นญาติและเป็นศิษย์รุ่นพี่กลับมารักษาตัวที่บ้านเกิดที่จังหวัดศรีสะเกษ หลังจากนั้นก็ไม่ได้มีโอกาสกลับไปอีกเลย
วิชาหลักที่ได้ศึกษากับหลวงปู่คำมีคือวิชาเกี่ยวกับการตั้งธาตุ หนุนธาตุ เปลี่ยนธาตุของธาตุทั้งสี่ และหลักการเจริญพระกรรมฐาน จนหลวงปู่คำมีท่านบอกกับหลวงปู่ว่า “ถ้าท่านอยากเรียนวิชาอะไรกับผม ผมจะสอนให้หมดทุกอย่าง” แต่หลวงปู่ท่านก็ได้ตอบหลวงปู่คำมีไปว่า
“ผมไม่เอาหรอกครับ ที่มีอยู่ก็แบกหนักพอแล้ว ถือหนักพอแล้ว ไม่รู้จะถือแบกหามไปทำอะไรหนักหนาแล้ว เอาแนวพ้นทุกข์ดีกว่า ไม่ต้องถืออะไรดี เบาดี”
หลวงปู่คำมีท่านนิ่งมองดูหน้าหลวงปู่แล้วพูดว่า
“จิตท่านดีแล้ว ทำถูกแล้ว”
เรื่องความอัศจรรย์ของหลวงปู่คำมี หลวงปู่สุขท่านเล่าว่ามีมาก เช่น ย่นระยะทาง หายตัว ฝนตกไม่เปียก และมีวาจาสิทธิ์ เป็นต้น
![พระครูพิสุทธิ์พรหมวิหาร (หลวงปู่สุข โกวิโท) ขอขอบคุณ เรื่องและภาพจากศิษยานุศิษย์ หลวงปู่สุข โกวิโท](https://www.manasikul.com/wp-content/uploads/2020/06/S__696427.jpg)
มารผจญคิดลาสิกขา
หลวงปู่สุข โกวิโท คิดจะลาสิขาหลายครั้งหลายคราในช่วงบวชใหม่ๆ เพราะมีโยมผู้หญิงมาขอร้องให้สึกออกไปอยู่ด้วย ถึงขั้นเตรียมเสื้อผ้ามาให้พร้อมสึกไปช่วยกันประกอบอาชีพค้าขาย และช่วงนั้นมีการเปิดสอบตำรวจบรรจุพลใหม่ แต่หลวงปู่เครื่องท่านมิให้สึกว่า “ตำรวจมันสอบยาก” หลวงปู่สุขท่านจึงว่า “งั้นก็จะสึกไปสอบครู” หลวงปู่เครื่องก็บอกว่า “พูดกับเด็กมันพูดยาก สอนยาก” หลวงปู่เครื่องท่านจึงไล่หลวงปู่ให้เข้าป่าไป ให้จิตมันหายฟุ้งซ่านที่คิดจะสึกให้หายไปก่อน หลวงปู่เครื่องท่านพูดดึงสติหลวงปู่ไว้ว่า “เป็นโยมมันมีแต่จะทุกข์ยังอยากจะออกไปอีกหรือ บ่ อยากพ้นทุกข์บ่”
หลวงปู่จึงตัดสินใจไม่สึกแล้วออกเดินธุดงค์มุ่งหน้าสู่จังหวัดอุบลราชธานีต่อไป นับได้ว่าหลวงปู่เครื่องท่านเป็นดังพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่ค่อยประคับประคองหลวงปู่สุขให้อยู่ในร่มกาสาวพัสตร์มาโดยตลอด ในช่วงที่บวชใหม่ๆ และ หลวงปู่คำมี พุทธสาโร ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของหลวงปู่เครื่อง พระอุปัชฌาย์ของท่าน ก็เป็นพระอาจารย์อีกองค์หนึ่งที่เมตตาถ่ายทอดวิชากัมมัฏฐานแยกธาตุแยกขันธ์ให้กับหลวงปู่สุขในการฟาดฟันกับกิเลสจนหมดสิ้นไปจากจิตใจตามรอยธรรมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปจนสุดทางทุกข์ในที่สุด
น้อมเศียรเกล้า ถวายความอาลัย
กราบสรีรสังขาร “หลวงปู่สุข โกวิโท”
พระสุปฏิปันโนผู้สิ้นทุกข์ในสังสารวัฏ
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
ขอขอบคุณ เรื่องและภาพจากศิษยานุศิษย์ หลวงปู่สุข โกวิโท
![](https://www.manasikul.com/wp-content/uploads/2023/02/S__49463317-1024x724.jpg)