ธรรมะกับธรรมชาติในป่าใหญ่
และ…ใจมนุษย์
โดย พระครูสมุห์สุพัฒน์ อนาลโย
มนุษย์มักคิดว่า…
เราเป็นสัตว์ประเภทหนึ่งที่อาศัยอยู่ในโลกใบนี้ที่แตกต่างจากสัตว์อื่นทั่วไป
ซึ่งเรียกตนเองว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ ฉลาด มีความรู้ ความสามารถเหนือกว่าสัตว์อื่น
แต่บางครั้งบางเวลาใจมนุษย์ตกต่ำลงไม่ต่างจากสัตว์เหล่านั้นเลย
และอาจจะยิ่งกว่าสัตว์เสียอีก

พระครูสมุห์สุพัฒน์ อนาลโย
แท้จริงแล้ว ธรรมชาติอยู่เหนือกว่าสรรพสัตว์ทั้งปวง ถ้าเรารู้จักเคารพซึ่งกันและกัน ก็จะอยู่ร่วมกันพึ่งพิงอาศัยกันได้ แต่เมื่อมีความหวาดระแวงกัน ไม่มีความเชื่อใจไว้วางใจกัน ไม่ให้อภัยแก่กัน คิดเบียดเบียนกัน จะแสวงหาความสงบสุขทางกายและใจได้ยาก
และความเห็นแก่ตัวจากมนุษย์นี้เอง นำไปสู่ความเสียหายของระบบสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ ด้วยความละโมบ ทำให้ธรรมชาติเสื่อมโทรมลง ผู้ที่รับผลของกรรมนั้นอย่างเต็มๆ ก็กลับคืนสู่มนุษย์นั่นเองในทุกทาง เรื่องของฝุ่น เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการถูกทำลายธรรมชาติโดยน้ำมือมนุษย์เท่านั้น เพราะมนุษย์ ยังเบียดเบียนกันและกันโดยการโกงค่าแรง เบียดเบียนแรงงาน ทำธุรกิจไม่ซื่อตรง อาศัยกฏหมายทำร้ายกันเองในนามของวาทกรรมความถูกต้อง แต่ไม่ถูกธรรม ตรงกับพุทธพจน์ประโยคที่ว่า
กัมมุนา วัตตติ โลโก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
“กระทำกรรมอย่างไร… ก็ได้รับผลของกรรมตามนั้น”
ยัง กัมมัง กะริสสามิ.เราทำกรรมอันใดไว้
ตัสสะ ทายาโท ภะวิสสามิ. เราจะต้องได้รับผลของกรรมนั้น
ดังเรื่องเล่าว่า
ในป่าใหญ่มีสิงโตและเสือเป็นเพื่อนรักกันอาศัยอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง สัตว์ทั้งสองตัวออกไปล่าสัตว์ได้มาก็แบ่งกันกินใต้ต้นไม้นั้นทุกๆ วัน
หลายวันผ่านไป…ซากศพที่อยู่ใต้ต้นไม้นั้นได้ส่งกลิ่นเหม็นอบอวนเป็นอย่างมาก จนเทวดาที่อยู่ที่ต้นไม้นั้นทนกลิ่นเหม็นไม่ไหว จึงออกมาหารือกับเทวดาที่เป็นพระโพธิสัตว์ว่า
“เราต้องไล่เจ้าสิงโตกับเสือไปให้ไกลจะไม่มีกลิ่นเหม็นนี้มารบกวนใจอีก”
เทวดาพระโพธิสัตว์ว่า
“ไม่เป็นไรหรอก เรากับเขาก็อาศัยกันและกันอยู่”
ส่วนเทวดาอีกองค์หนึ่งพูดว่า “ไม่ยอม”
หลังจากนั้น ก็ได้เนรมิตรตนเป็นผีสางขับไล่สัตว์ทั้งสองตัวด้วยอาการต่างๆ ให้ออกไปในที่สุด สิงโตและเสือหนีไปจากต้นไม้นี้ หลายเดือนผ่านไปชาวบ้านทราบข่าวว่าสิงโตและเสือไม่อยู่แล้วก็เข้าไปตัดไม้ต้นใหญ่ไปแปรรูปเป็นอย่างอื่น
เทวดาก็ไม่มีวิมานอยู่เดือดร้อนก็มาหาเทวดาพระโพธิสัตว์ถามว่าเราจะทำอย่างไรดีก็เลยบอกเทวดานั้นว่าให้เจ้าไปเชิญสิงโตและเสือให้กลับมาอยู่ที่เดิมให้ได้ผลปรากฏว่าสัตว์ทั้งสองตัวนั้นไม่กลับมาอีกเลย
จะเห็นได้ว่าป่าไม้ต้องอาศัยสัตว์เพื่อรักษาเผ่าพงไพรให้เขียวสวยงามเพิ่มความอุดมเป็นเครื่องประดับให้โลกน่าอยู่ สัตว์ก็อาศัยป่าไม้เป็นที่หลับนอนที่กิน เมื่อขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งความสมดุลของธรรมชาติก็ไม่สมบูรณ์ถูกทำลายให้ดับสูญพันธุ์ไป
ส่วนต้นไม้ต้องใช้ระยะเวลาปลูกให้เติบโตสักประมาณ ๓๐ ปีได้ แต่เวลาที่ทำลายนั้นไม่ถึงชั่วโมงชั่วพริบตาก็เหลือแต่ตอไม้ไว้ให้ดูต่างหน้า
การทำลายป่าก็สลับซับซ้อน บางทีชาวบ้านเป็นเพียงผู้รับจ้างมีรายได้เพียงน้อยนิด แต่ผู้สั่งตัดตัวจริงอยู่เบื้องหลัง ได้ประโยชน์มหาศาลจากป่าไม้โดยอาศัยการจ้างชาวบ้าน และผู้ที่เคราะห์ร้ายถูกจับก็กลายเป็นชาวบ้าน ส่วนผู้ร้ายตัวจริงลอยนวล นี่แหละช่องว่างของกฎหมายที่ทำอะไรคนมีอำนาจไม่ค่อยได้
บุคคลที่หมั่นสะสมทำความดีมาหลายปี เมื่อพลาดพลั้งเพียงครั้งเดียว คนก็ตีตรามองไม่ดีตลอดชีวิต อันนี้ไม่ควร เราควรให้อภัยต่อกันเพื่อเริ่มต้นใหม่
เพราะมนุษย์อาศัยธรรมหล่อเลี้ยงจิตใจ หากมนุษย์ไม่มีธรรมะอยู่ในใจแล้วก็เป็นได้เพียงแค่คนเท่านั้น
ดังนั้น ไม่มนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย ป่าไม้ภูเขาที่เป็นธรรมชาติ ต้องอิงอาศัยพึ่งพากัน หากขาดความพอดีตอนไหนก็จบกันที่ตรงนั้น บุคคลที่รักษาธรรมะ ธรรมะจะย้อนกลับมาปกป้องรักษาเราเช่นกัน
สังคมจะสงบสุขอยู่ร่วมกันฉันพี่น้องได้และประกอบด้วยคุณธรรมครองใจคนคือ
“รู้จักแบ่งปันเอื้อเฟื้อแผ่ พูดจาไพเราะเพราะพริ้ง
มีจิตอาสาสาธารณะ และวางตนเสมอต้นเสมอปลาย”
พระจ๊อดส์
๑๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๒

ขณะเดินทางไปเป็นพระวิทยากร
ให้กับสามเณรปลูกปัญญาธรรมปีที่ ๘
ที่สวนโมกขพลาราม
จังหวัดสุราษฎร์ธานี
“จะเห็นได้ว่า…
ป่าไม้ต้องอาศัยสัตว์เพื่อรักษาเผ่าพงไพรให้เขียวสวยงามเพิ่มความอุดมเป็นเครื่องประดับให้โลกน่าอยู่ สัตว์ก็อาศัยป่าไม้เป็นที่หลับนอนที่กิน เมื่อขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งความสมดุลของธรรมชาติก็ไม่สมบูรณ์ถูกทำลายให้ดับสูญพันธุ์ไป มนุษย์ก็เช่นกัน ควรถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน ”