บททดสอบ
ศักยภาพของมนุษย์ สะท้อนให้เห็น
ค่าแห่งคำอธิษฐาน
การตั้งความปรารถนาอย่างแน่วแน่
ที่จะทำเรื่องใดเรื่องหนึ่งให้บรรลุเป้าหมาย
เป็นเรื่องของใจที่มุ่งมั่นจะทำเรื่องที่กำหนดไว้ให้สำเร็จ
จะสำเร็จได้หรือไม่นั้น อยู่ที่การลงมือทำด้วยตนเอง.
ค่าแห่งคำอธิษฐาน
๓.คำอธิษฐานครั้งสำคัญ
เรียบเรียงโดย พระครูอมรโฆสิต (ปรีชา สาเส็ง)
ความเดิมตอนที่แล้ว…หลังจากที่สุเมธดาบส ตั้งจิตอธิษฐานอย่างแรงกล้าที่จะเป็นดั่งพระทีปังกรพุทธเจ้า จึงน้อมตนเองเป็นทางเท้าถวายพระทีปังกรพุทธเจ้า และพระสาวกให้เดินผ่านไปโดยไม่ต้องเปื้อนบ่อโคลนที่สกปรก ผ่านไปอีกประมาณ ๔ อสงไขยกับอีกแสนกัป ท่านจึงได้เกิดมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะตามคำพยากรณ์ของพระทีปักรพุทธเจ้าเมื่อครั้งกระโน้น เหตุใด การอธิษฐานจึงทรงพลัง หากทว่าต้องใช้เวลานาน ก็เพราะกิเลส และวิบากกรรม ยังมีอยู่ จึงต้องเพียรใช้วิบากและสร้างบารมีสามสิบทัศอย่างต่อเนื่องไม่ลดละจนกระทั่งบรรลุผล…
๓. คำอธิษฐานครั้งสำคัญ
หลังจากผ่านการบำเพ็ญบารมีมายาวนาน กระทั่งเมื่อสองพันหกร้อยกว่าปีก่อนเจ้าชายสิทธัตถะทรงประสูติตามคำพยากรณ์ของพระทีปังกรพุทธเจ้า เมื่อครั้งเสวยพระชาติเป็นสุเมธดาบส ก่อนที่จะตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณในชาติสุดท้าย พระองค์ได้กระทำการอธิษฐาน ๓ ครั้งใหญ่ๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำให้เห็นความสำคัญของการอธิษฐานและลงมือทำด้วยหัวใจของพระองค์อย่างมั่นคง ไม่คลอนแคลน จนกว่าจะประสบความสำเร็จด้วยการเอาชีวิตเป็นเดิมพัน
ในช่วงที่เจ้าชายสิทธัตถะก่อนออกมหาภิเนษกรมณ์ หรือ การเสด็จออกบวชครั้งสุดท้าย พระองค์ได้ทรงครุ่นคิดอย่างหนักถึงการหาวิธีการที่จะพ้นทุกข์อย่างแท้จริง หลังจากพระนางยโสธราประสูติพระราหุล พระราชโอรสองค์แรกของพระองค์ในคืนนั้น พระองค์ตระหนักว่า บ่วงแห่งชีวิตได้เกิดขึ้นแล้ว พระองค์จะต้องอาศัยเวลานี้แหละออกแสวงหาหนทางที่จะออกจากบ่วงแห่งทุกข์อันยิ่งใหญ่คือการเกิดและความเจ็บปวดจากการเกิดนี้
การหนีออกจากวังของเจ้าชายสิทธัตถะเป็นเรื่องใหญ่ เพราะพระองค์คือรัชทายาทที่จะสืบราชสันตติวงศ์ และยิ่งเป็นการตัดสินใจ “หนี” เพื่อ “ออกบวช” ย่อมไม่เป็นที่พอพระราชหฤทัยของเสด็จพ่อเป็นแน่ หากทว่า ความเด็ดเดี่ยวของพระองค์มิได้เกิดขึ้นแต่เพียงในชาตินี้ เมื่อมองย้อนกลับไปตั้งแต่เมื่อครั้งเสวยพระชาติเป็นสุเมธชาดก ก็ทรงตั้งจิตอธิษฐานที่จะเป็นอย่างพระทีปังกรพุทธเจ้า มาจนถึงในสิบพระชาติสุดท้ายของพระองค์ที่ปรากฏในพระไตรปิฎกและอรรถกถา ดังที่ปรากฏอยู่ใน “ทศชาติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง” ฉบับ ญาณวชิระ อันเป็นสิ่งยืนยันการอธิษฐานจิตของพระองค์ชาติแล้วชาติเล่าเพื่อบรรลุโพธิญาณเพียงประการเดียว
และแล้วในที่สุดพระองค์ทรงบำเพ็ญบารมีจนเต็มเปี่ยมในสิบพระชาติสุดท้าย จนกระทั่งบรรลุธรรมในชาติที่ ๑๑ นี้เอง แต่ในพระชาติสุดท้ายก็ยังมีเศษกรรมตามมารังควาน ดังเช่นพระเทวทัตที่ตามมาประทุษร้ายพระองค์ จากการที่พระองค์ทรงเคยทำร้ายพระเทวทัตมาก่อนในอดีตชาตินานมา แต่หลังจากที่พระองค์ตรัสรู้ความจริงงอันประเสริฐ พระองค์ทรงให้อภัยทุกคน ไม่ว่าใครจะทำร้ายพระองค์อย่างไรก็ตาม ซึ่งปรากฏอยู่ในบทพระปริตร บทชัยมงคลคาถา พาหุงมหากา ที่ว่าด้วยชัยชนะของพระพุทธเจ้าด้วยพระเมตตาและพระกรุณาอันไม่มีประมาณ
จึงไม่น่าแปลกใจว่า หลังจากพระราหุลประสูติกาลในคืนนั้น พระองค์ทรงเสด็จออกจากวังทันที…
ณ ริมฝั่งแม่น้ำอโนมา
ปาฏิหาริย์แห่งการอธิษฐานครั้งแรก
ที่ลุ่มแม่น้ำอโนมาในรุ่งเช้า หลังจากที่พระองค์ทรงถอดเครื่องประดับทั้งหลายพร้อมกับบอกให้นายฉันนะ นำกลับไปยังเมืองกบิลพัสดุ์มอบให้กับพระราชบิดา แล้วทูลพระราชาว่า พระองค์ตัดสินใจออกบวชแล้ว จากนั้นจึงได้ทำการตั้งจิตอธิษฐานเป็นครั้งแรกว่า “การที่พระองค์เองได้ตัดใจบวชเพื่อมุ่งสู่ความเป็นบรรพชิตแสวงหาทางพ้นทุกข์นับแต่บัดนี้นั้น ถ้าหากพระองค์จักได้ทำการตรัสรู้ก็ขอให้พระเกศาของพระองค์จงลอยอยู่บนอากาศอย่าได้ตกลงมาสู่ผืนดินและผืนน้ำ”
ปาฏิหาริย์ครั้งแรกแห่งการอธิษฐานก็เกิดขึ้น เพราะหลังจากที่พระองค์ตัดพระเกศาออก ท้าวสักกเทวราช หรือพระอินทร์ ที่ล่วงรู้เหตุการณ์ทั้งหมด ก็รีบเหาะนำพานมารองรับพระเกศาเอาไว้ แล้วนำพระเกศาของพระองค์ไปบรรจุไว้ในเจดีย์จุฬามณีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ต่อไป
จุดเริ่มต้นแห่งการอธิษฐานจิตของเจ้าชายสิทธัตถะ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการก่อเกิดพระพุทธศาสนาในภายหลัง ณ ที่แห่งนี้ ริมฝั่งแม่น้ำอโนมา หลังจากเจ้าชายสิทธัตถะทรงผนวชได้ ๗ วัน
ผ่านไปหกปี เจ้าชายสิทธัตถะทดลองการบำเพ็ญเพียรทั้งหมด ไม่ว่าการบำเพ็ญแบบฤาษีต่างๆ ที่เป็นแนวปฏิบัติของนักบวชของอินเดียในสมัยโบราณ ที่ต้องทรมานร่างกายจนแทบจะสิ้นลมหลายต่อหลายครั้ง ในที่สุดทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาจนพระวรกายซูบผอมดำคล้ำเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก โดยการบำเพ็ญขั้นสุดท้าย คือ การบริโภคอาหารน้อยลงจนถึงหยุดฉันอาหาร เหล่าปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ที่ตามมารับใช้ต่างก็ช่วยกันดูแลพระโพธิสัตว์อยู่ตลอดจนกระทั่งพระองค์ได้ทำการทรมานตนเองจนเกือบจะสิ้นพระชนม์
แต่สำหรับท้าวสักกเทวราชหรือพระอินทร์ ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของพระองค์ และยังเกรงว่าความตั้งใจอันเด็ดเดี่ยวนี้จะเกิดความสูญเปล่า ดังนั้นในคืนที่ ๔๙ แห่งการบำเพ็ญเพียรก่อนที่ร่างของพระองค์กำลังจะดับสูญไปเพราะความทุกข์ ทรมานจากการอดอาหาร พระองค์ทรงได้ยินเสียงพิณจากนักดนตรีที่แล่นเรือผ่านมาตามแม่น้ำ ซึ่งก็คือพระอินทร์แปลงกายมา โดยที่นักดนตรีปลอมนั้นแกล้งตั้งสายพิณให้หย่อนบ้าง และตึงบ้างสลับกันไป จนกระทั่งพระอินทร์ตั้งเสียงพิณจนสุดจนสายขาดผึงไป
เพราะเสียงพิณที่แตกต่างกัน ทำให้พระองค์ได้ตระหนักถึงความสำคัญของจิตกับกาย หรือนามกับรูปเป็นครั้งแรกว่า ในขณะนี้พระองค์ได้ทรมานร่างกายมากเกินควร เพราะธรรมชาติของร่างกายสามารถทนได้เพียงเท่านี้ หากดื้อดึงจะใช้จิตเคี่ยวเข็ญร่างกายจนเกินกำลังก็คงไม่อาจบรรลุธรรมได้แน่
ในขณะนั้นเองพระองค์นึกถึงตอนที่ยังทรงพระเยาว์อยู่ ในพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ขณะที่พระองค์มีพระชนมายุประมาณ ๗ พรรษา พระองค์ทรงปลีกวิเวกไปนั่งอยู่ใต้ต้นหว้า หรือต้นชมพูพฤกษ์ ที่ร่มเย็นและเริ่มต้นอยู่กับลมหายใจเข้า-ออก กระทั่งจิตใจเป็นสมาธิ กระทั่งบรรลุฌานเบื้องต้น แต่พระองค์ก็ไม่ทราบว่าต่อจากนั้นจะเป็นอย่างไร หากทว่าความสงบจากสมาธินี้เป็นสิ่งที่พระองค์คุ้นเคย เพราะได้บำเพ็ญมาในอดีตชาติ และในขณะนั้น ทรงถูกตามกลับพระราชวัง หลังพระเจ้าสุทโธทนะเสร็จพระราชพิธีแล้ว
การพบประสบการณ์ทางจิตครั้งสำคัญเมื่อครั้งทรงพระเยาว์ หวนกลับมาอีกครั้ง ในขณะที่พระองค์ได้ยินเสียงพิณที่ได้ขึ้นสายใหม่ ปรากฏเสียงมีความพอดีบรรเลงได้ไพเราะจึงได้เลิกทรมานกาย เพราะทรงตระหนักในขณะนั้นว่า
“การเดินทางสายกลาง
ที่ไม่ตึงเกินไปไม่หย่อนจนเกินไปนั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุด”
การปฏิบัติที่ตึงเกินไปทำให้ร่างกายที่เต็มไปด้วยความหิวก่อให้เกิดทุกข์หนักขึ้น ความคิด และกิเลสยังอยู่ไม่ได้หายไปไหน จึงหันมาบริโภคน้ำและอาหารเพื่อร่างกายที่แข็งแรงอีกครั้ง และคิดว่าพระองค์จะทำสมาธิเช่นเดียวกับที่พระองค์เคยสัมผัสความสงบสุขจากกิเลสและความคิดเมื่อทรงพระเยาว์ในกาลก่อน
เหล่าพราหมณ์ทั้ง ๕ เมื่อได้ทราบว่าพระโพธิสัตว์กลับมาบริโภคอาหารอีกครั้ง ด้วยความที่ไม่ทราบถึงหลักความจริงในเรื่องการเดินสายกลาง จึงเกิดความเสื่อมศรัทธาในตัวพระองค์ ต่างพากันหลีกหนีไปไม่อยู่รับใช้อีก
แต่เจ้าชายสิทธัตถะทรงตั้งมั่นพระทัยในทางที่จะดำเนินจิตบนสายกลางที่ได้ค้นพบต่อไป เพราะรู้แล้วว่า หากร่างกายดี จิตก็จะมีกำลัง สมาธิก็มีความตั้งมั่น จึงเป็นทางที่จะนำไปสู่การหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงได้ และในช่วงนั้นเอง นางสุชาดา ธิดาเศรษฐีเสนานีกุฎุมพีแห่งตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ซึ่งเคยเกี่ยวข้องกับพระองค์ อันเนื่องมาจากการอธิษฐานในอดีตชาติ และในชาตินี้ที่ได้พบกับพระพุทธเจ้า นางก็เข้ามามีส่วนช่วยให้พระองค์ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณในเวลาต่อมา
“ข้าวมธุปายาสและถาดทอง”
ปาฏิหาริย์แห่งการอธิษฐานครั้งที่สอง
ด้วยก่อนหน้านี้ นางสุชาดาได้ตั้งจิตอธิษฐานต่อเทวดาที่ต้นไทรว่า หากนางมีครอบครัวและได้บุตรชาย นางจะนำข้าวมธุปายาสมาถวายกับเทวดา (ข้าวมธุปายาสนั้นเป็นข้าวที่หุงด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง)
ในขณะนั้นเจ้าชายสิทธัตถะได้กลับมาบริโภคอาหารจนร่างกายแข็งแรงแล้ว ทำให้ผิวพรรณและร่างกายกลับมามีความสดใสเปล่งปลั่งสมกับลักษณะของมหาบุรุษอีกครั้ง นางสุชาดาได้เห็นก็เชื่อว่าต้องเป็นเทวดาอย่างแน่นอน นางจึงนำข้าวมธุปายาสพร้อมถาดทองคำเข้าไปถวาย พร้อมทั้งอธิษฐานอีกครั้งว่า ข้าพเจ้าได้บรรลุความปรารถนาแล้วขอให้ท่านได้บรรลุความปรารถนาเช่นเดียวกัน
การอธิษฐานครั้งที่สองของเจ้าชายสิทธัตถะพระโพธิสัตว์จึงบังเกิดขึ้นหลังจากได้รับการถวายข้าวมธุปายาสนี้ เมื่อพระองค์เสวยข้าวมธุปายาสจนหมดแล้ว ทรงเดินนำถาดทองไปที่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา เพื่อตั้งจิตอธิษฐานบารมีอีกครั้งว่า ถ้าเราจะได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ขอให้ถาดนี้จงลอยทวนกระแสน้ำไป
ปาฏิหาริย์ครั้งที่ ๒ เกิดขึ้นกับพระองค์ เมื่อถาดถูกปล่อยจากพระกร ถาดทองคำที่หนักอึ้งนั้น ก็หมุนลอยทวนกระแสน้ำไปเรื่อย ๆ ด้วยแรงอธิษฐานและจมสู่นาคพิภพไปรวมกับถาดอีก ๓ ใบของพระพุทธเจ้าในภัทรกัปป์ปัจจุบัน
ภัทรกัปป์ คือการเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าในยุคปัจจุบันมีอยู่ ๕ พระองค์คือ พระกกุสันธะ พระโกนาคมณ์ พระกัสสปะ พระโคดม(พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน)และ พระศรีอริยเมตไตรย ที่จะมาตรัสรู้เป็นองค์ต่อไป
หลังจากถาดทองคำลอยทวนน้ำไปแล้ว พระองค์ทรงเกิดความแน่วแน่และมั่นพระหฤทัยมากยิ่งขึ้นว่าจะตรัสรู้อย่างแน่นอน จึงเสด็จไปยังโคนต้นโพธิ์ทางทิศตะวันออก ขณะที่กำลังจะประทับนั่นนั้นเอง ก็มีคนหาบหญ้าที่ชื่อว่า โสตถิยะ ผ่านมาได้เห็นลักษณะที่น่าเลื่อมใสงามสง่าของพระโพธิสัตว์ จึงได้ทำการถวายหญ้าคา ๘ กำปูลาดเป็นอาสนะให้ประทับนั่ง พระองค์ทรงรับเอาไว้และนำไปประทับนั่งใต้ต้นโพธิ์ นั่งขัดสมาธิแล้วหันหน้าไปทางทิศตะวันออก
“ด้วยบารมีที่เต็มเปี่ยม”
ปาฏิหาริย์แห่งการอธิษฐานครั้งที่สาม
ก่อนที่พระองค์จะบำเพ็ญเพียรภาวนาเพื่อการหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงก็ทรงตั้งจิตอธิษฐานเป็นครั้งที่สาม กำหนดใจให้สงบตั้งมั่นว่า
แม้เลือดในร่างกายจะแห้งเหลือแต่หนัง เอ็นหุ้มกระดูกก็ตาม หากยังไม่ได้บรรลุสัจธรรมอันประเสริฐสูงสุดที่สามารถตัดภพชาติให้ขาดดสะบั้น กระทั่งเห็นทุกอย่างตามความเป็นจริง เราจะไม่ลุกขึ้นจากบัลลังก์แห่งนี้
เทวดาทั้งหลายทั่วทั้งชั้นฟ้า ต่างได้รับรู้ถึงการอธิษฐานจิตของพระองค์ในครั้งนี้ จึงพากันลงมาสดุดีบูชามหาบุรุษด้วยดอกไม้ ของหอมต่าง ๆ แล้วโมทนาบุญที่บังเกิดขึ้นในครั้งนั้น แต่ยังมีเทพองค์หนึ่งที่ต้องการขัดขวางการบรรลุธรรมของพระองค์คือ พญาวสวัตดีมาร ซึ่งเป็นถึงผู้ปกครองชั้นสูงสุดของสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้น (สวรรค์กามาวจร)
พญามารนั้นเกรงว่าผู้ใดบรรลุธรรมแล้วจะมีอำนาจพ้นจากกามสุข ซึ่งเป็นอำนาจที่เหนือเทพเทวดาทั้งปวง และกามสุขนี้เอง เป็นอำนาจของตนเองที่ใช้ปกครองเทวดาทั้งหลายอยู่ หากพระองค์บรรลุธรรมสูงสุด พญามารจะหมดความหมายที่จะเป็นใหญ่ในการปกครองเทพเทวดา จึงได้ยกกองทัพมารจำนวนมหาศาลมาประชิดพระองค์ โดยที่พญาวสวัตตีมารได้ขี่ช้างที่ชื่อ คีรีเมขล์ ที่มีความสูงถึง ๑๕๐ โยชน์มาด้วย ทำให้เหล่าเทวดาพากันถอยหนีไปหมด
ในขณะนั้นเอง พระโพธิสัตว์ทรงตั้งพระทัยมุ่งจิตที่บริสุทธิ์ของพระองค์ให้อยู่เหนือธรรมชาติฝ่ายต่ำ และยกจิตของพระองค์เองให้สูงขึ้นไปอีกเหนือสิ่งที่เป็นความสุขชั่วคราวทั้งหลายที่เคยได้ประสบมาแล้วตั้งแต่ครั้งยังเป็นเจ้าชายอยู่ให้พ้นไป
พญามารได้ออกปากขับไล่ให้พระโพธิสัตว์ให้ลุกออกจากโพธิบัลลังก์โดยอ้างว่า บัลลังก์ที่พระองค์ประทับนั่งอยู่นั้นเป็นของพญามารเอง เพราะหน้าที่บงการชีวิตของเหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลายให้ประสบทุกข์หรือสุขนั้น เป็นหน้าที่ของพญามารแต่เพียงผู้เดียว
แต่เจ้าชายสิทธัตถะก็ไม่ได้ลุกขึ้นตามความประสงค์ของพญามาร พระองค์ตรัสกับพญามารว่า บุญบารมีทั้งหมดที่ได้สั่งสมมาตั้งแต่ครั้งอดีตชาติจะเป็นสื่อกลางอันมั่นคง และพระแม่ธรณีที่ประทับนั่งอยู่จะเป็นพยาน หลังจากนั้นก็ใช้ปลายนิ้วชี้ของพระหัตถ์ด้านขวาชี้ลงไปที่พระแม่ธรณี
ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อทั่วทั้งปฐพี เกิดการสั่นไหว แม้แต่ท้องฟ้าก็ร้องคำราม พระแม่ธรณีได้ผุดขึ้นมาจากธรณีเป็นพยาน และได้นำหลักฐานที่พระโพธิสัตว์กล่าวอ้าง มาแสดงให้ปรากฏแก่สายตาของพญามาร พระแม่ธรณีบีบมวยผมที่ชุ่มไปด้วยบุญบารมีของพระโพธิสัตว์ที่ได้บำเพ็ญมาแล้วตั้งแต่อดีตชาติซึ่งมีปริมาณมากไม่อาจประมาณได้ น้ำปริมาณมหาศาลได้พัดท่วมเหล่ามารนั้นจนหายไปหมดสิ้นซัดไปไกลลอยไปจนถึงเขตมหาสมุทร
ฝ่ายพญามารก็ยังไม่ยอมแพ้ หมายมั่นจะนำกำลังที่เหลือกลับไป แต่เมื่อกลับไปแล้วก็ถูกฟ้าผ่าลงมาอีก จึงยอมแพ้ต่อพระโพธิสัตว์ พญามารเกรงในพระราชอาญาและบารมีจึงออกปากสรรเสริญต่อพุทธเดชานุภาพของพระองค์ว่า ไม่มีบุคคลใดที่มีความเสมอเหมือนพระโพธิสัตว์ ไม่ว่าในเทวโลกหรือในมนุษย์โลกก็ตาม และพระองค์จะช่วยให้เหล่ามนุษย์ได้พ้นจากสังสารวัฏได้อย่างแน่นอน
พระโพธิสัตว์ได้ชัยชนะเหนือความชั่วร้ายได้ตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ทันได้ลับขอบฟ้า พญามารผู้หยั่งรู้ฟ้าดินได้สยบยอมความบริสุทธิ์แห่งจิตของพระองค์ จากนั้นพระองค์ก็ได้กำหนดจิตให้เข้าสู่สมาธิ ทรงเห็นความทุกข์แห่งการเวียนว่าย ตาย เกิดที่วนเวียนเกี่ยวเนื่องกันไปไม่ยอมสิ้นสุดจนจิตเป็นสมาธิในเวลาเย็นก็เกิดปัญญาหยั่งรู้ถึงชาติก่อนๆ ที่พระองค์เคยเกิดมาแล้วมากมายมหาศาล
พระองค์ทรงเห็นสายปฏิจจสมุปบาทของชีวิตที่ไหลเป็นวนอยู่ในจิต ตั้งแต่อวิชชา ตัวก่อภพชาติ ไปจนถึงพบวิชชาที่ดับกิเลสตัณหาทั้งปวง ด้วยลมหายใจที่มีสติตั้งมั่น จนก่อเกิดเป็นสมาธิ และมีปัญญา จนเห็นอนิจจัง ทุกขังและอนัตตาอย่างแจ่มแจ้ง
กระทั่งเวลาได้ล่วงเลยไปถึงค่อนคืนแล้ว พระองค์ทรงเกิดปัญญาญาณ หยั่งรู้การเกิดและการตายของเหล่าสัตว์ทั้งหลาย พอถึงเวลาใกล้รุ่งเช้าก็เกิดปัญญาอันคมกริบ ตัดภพชาติจนขาดสะบั้นไปเป็นครั้งสุดท้าย แม้แต่จิตที่ถูกห่อหุ้มด้วยกิเลสก็ถูกทำลายจนสิ้นซาก สงครามการต่อสู้กับกิเลสมารภายในใจได้จบลงแล้ว ธรรมที่มีความดับแล้วซึ่งกิเลสปรากฏขึ้นในจิตที่เป็นเพียงสิ่งที่มาอาศัยกาย พระองค์เห็นชีวิตมากมายในชีวิต อาศัยอยู่ในกาย และเห็นจิตมากมายที่อาศัยอยู่ในชีวิตเล็กเหล่านั้นที่มาอาศัยอยู่ในกายของพระองค์
พระองค์พบว่า ชีวิตคือร่างกายและจิตใจนี้เป็นเพียงที่อยู่อาศัยของดินน้ำลมไฟ และจิตวิญญาณของสัตว์ทั้งหลาย เช่นเดียวกับสิ่งภายนอกกาย ในอากาศมีชีวิต ในชีวิตก็มีดินน้ำลมไฟ ในไฟก็มีชีวิต และในน้ำก็มีชีวิต ทั้งหมดอิงอาศัยกันและกันเรียกว่า อิทัปปัจจยตา ทั้งโลกและจักรวาลต่างอิงอาศัยกันและกัน จะตัดขาดจากกันไม่ได้ วัฏฏะจึงหมุนวนอยู่เช่นนี้ กายกับใจเราเป็นอย่างไร โลกและจักรวาลก็เป็นอย่างนั้น การเกิดปัญญาในสมาธิทำให้เห็นกระแสการหมุนวนของคลื่นต่างๆ ที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตไหลเข้าไหลออก
การจะตัดขาดกระแสได้ คือ การเห็น เห็น และไม่เข้าไปสังฆกรรมกับเสียงเรียกร้องต่างๆ ภายในใจอีกต่อไป นั่นคือ ไม่ตามใจตัณหาอีกต่อไป
ในที่สุดพระองค์เห็นความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของชีวิต ปลดปล่อยความทุกข์ที่ขังอยู่ในจิตที่คิดว่าเป็นของตัวออกไป เห็นความเป็นอนัตตาของจิตและทุกสรรพสิ่ง พระองค์ไม่ใช่พระองค์ คือพ้นแล้วซึ่งกิเลสทั้งปวง บรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณโดยสมบูรณ์
ในขนะนั้น เจ้าชายสิทธัตถะหายไป คงเหลือเพียงดินน้ำลมไฟประชุมกันอยู่ในกายที่ยังมีจิตอันบริสุทธิ์ดำเนินธาตุขันธ์อยู่ พระองค์ไร้ซึ่งตัวตน คือ “ตถาคต” เป็นเพียงสภาวธรรมการเห็นทุกอย่างตามความเป็นจริง เหล่าเทวดาพากันลงมาโมทนาบุญกุศลให้มากมายในเวลาต่อมา ภายหลังการบรรลุ ธรรมอันสูงสุดของพระพุทธองค์ พื้นปฐพีก็กึกก้องดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วอีกครั้ง
จากการตรัสรู้ธรรมของพระพุทธองค์เห็นได้ชัดถึง “พลังแห่งการอธิษฐาน” นั้นมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งและต้องมีปัจจัยที่ตั้งมั่น และความเพียรอันไม่ลดละเป็นองค์ประกอบที่ดีงามเกื้อกูลกัน จึงจะบรรลุถึงความสำเร็จได้ในที่สุด