เช้าวันใหม่ ขอให้ใจร่มๆ

จาริกบ้าน จารึกธรรม

โดย

พระมหาอภิชาติ ธมฺมาภินนฺโท  สำนักสงฆ์นิโครธาราม ๒ ยะโฮร์บาห์รู มาเลเซีย

ฉบับนี้ขอนำเรื่องเล่าของครูบาอาจารย์ พระมหาสมควร ถิรสีโล และ พระมหาชาลี กลฺยาณญาโณ ซึ่งเดินทางมาปฏิบัติศาสนกิจที่มาเลเซีย ที่ท่านได้เล่าให้กับญาติโยมฟังเพื่อเป็นการจารึกธรรม ในโอกาสที่ญาติโยมมาวัด ผู้เขียนก็เลยขอนำมาเล่าต่อเพื่อเป็นคติ เป็นข้อคิดในการดำเนินชีวิต เริ่มต้นปีใหม่ หน้าที่เล่าเป็นของผู้เขียน ส่วนหน้าที่อ่านให้ได้คติ ข้อคิดเป็นหน้าที่ของผู้อ่าน ข้อแนะเบื้อต้นในการอ่าน ขอให้อ่านช้าๆ ด้วยความรู้สึก ไม่ตัดสิน ไม่เพ่งโทษ ปล่อยวางความรู้สึกชอบใจ ไม่ชอบใจ ถูกใจ ไม่ถูกใจ เราจะอ่านเพื่ออ่าน  

           (๑) วัดแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ติดภูเขา บรรยากาศ ธรรมชาติร่มรื่น เหมาะแก่การบำเพ็ญสมณธรรม และวัดแห่งนี้ก็ต้อนรับพระอาคันตุกะเข้าพักอยู่เป็นประจำ แต่การเข้าพักวัดนี้ มีธรรมเนียมว่าคนที่จะเข้าพักจะต้องประลองปัญญากันกับเจ้าอาวาส หรือผู้ที่เจ้าอาวาสมอบหมายให้ ถ้าชนะถึงจะได้เข้าพัก ถ้าแพ้ก็ไม่สามารถที่จะเข้าพักได้ วันหนึ่งเจ้าอาวาสมีธุระที่จะออกไปนอกวัด จึงได้มอบหมายให้พระน้องชายบอกว่า วันนี้ถ้ามีพระอาคันตุกะมาขอพัก นิมนต์ท่านทำหน้าที่ประลองปัญญาด้วย

           ในช่วงเย็นวันนั้นก็มีพระภิกษุรูปหนึ่งเดินทางมาจากต่างเมือง แต่ก็รู้ธรรมเนียมของวัดเป็นอย่างดี พอเข้าไปในวัดแล้วก็กราบพระประธาน แล้วก็มาเจอพระน้องชายของเจ้าอาวาส พระอาคันตุกะก็เลยยกนิ้วชูขึ้นมาหนึ่งนิ้ว พระน้องชายเจ้าอาวาสก็ยกนิ้วชูขึ้นมาสองนิ้ว พระอาคันตุกะก็ยกนิ้วชูขึ้นมาสามนิ้ว พระน้องชายของเจ้าอาวาสก็กำกำปั้นแล้วก็ชูขึ้น พระอาคันตุกะเห็นดังนั้นก็รู้ทันทีว่า ตัวเองแพ้แล้วก็กราบพระ กราบลาพระน้องชายเจ้าอาวาสแล้วก็รีบไปหาที่พักวัดอื่น

           ในระหว่างเดินทางออกจากวัดก็เจอกับเจ้าอาวาส เจ้าอาวาสก็ถามว่า ท่านจะไปไหน พระอาคันตุกะก็ตอบว่า ผมจะไปพักที่วัดอื่น เมื่อกี้ ผมประลองปัญญาแพ้น้องชายของท่าน เจ้าอาวาสก็ถามว่า ประลองอย่างไร พระอาคันตุกะก็ตอบว่า ผมยกนิ้วชูขึ้นหนึ่งนิ้ว ซึ่งหมายถึง พระพุทธ พระน้องชายท่านก็ยกนิ้วชูขึ้นสองนิ้ว ซึ่งหมายถึง มีพระพุทธแล้วก็ต้องมีพระธรรม ผมก็ยกนิ้วชูขึ้นสามนิ้ว หมายถึง มีพระพุทธ พระธรรมแล้วก็ต้องมีพระสงฆ์ ซึ่งน้องชายของท่านก็กำกำปั้นยกขึ้น ซึ่งหมายถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รวมกันเป็นหนึ่ง คือ พระรัตนตรัย ซึ่งผมแพ้ในสติปัญญาของพระน้องชายท่าน ผมจึงต้องไปพักที่วัดอื่น ว่าแล้วก็กราบลาเจ้าอาวาสเดินทางต่อไป

           ในขณะนั้น พระน้องชายของเจ้าอาวาสก็เดินตามมาอย่างเร่งรีบเลย มาเจอเจ้าอาวาสก็ถามว่า เมื่อกี้เจอพระอาคันตุกะรูปนั้นไหม ผมจะต่อยให้ร่วงเลย มาแล้วก็ต่อว่าผม ต่อว่าผมยังไม่พอ ยังมาว่าท่านด้วย เจ้าอาวาสท่านก็ถามว่า เขาว่าอย่างไร พระน้องชายก็บอกว่า มาถึงก็ยกนิ้วชูขึ้นหนึ่งนิ้วหาว่า ผมมีตาเดียว ผมก็ยกนิ้วชูขึ้นสองนิ้ว ตอบกลับไปบอกว่า ผมมีสองตา เขายกนิ้วชูขึ้นสามนิ้ว หาว่าผมกับพี่สองคนรวมกันมีแค่สามตา ผมก็โกรธ ทนไม่ไหวก็เลยกำกำปั้นขึ้นกะว่าจะเอาให้อยู่ด้วยหมัดเดียว ไหนพระอาคันตุกะนั้นไปไหนแล้ว ท่านเจ้าอาวาสก็ไม่ได้พูดอะไร ได้แต่ยิ้มๆ เรื่องก็จบลงแค่นี้

           (๒) ที่วัดแห่งหนึ่งเช่นกัน มีกบตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในบริเวณวัด กบตัวนี้จะเห็นกิจวัตรของพระภิกษุทุกช่วงเวลา เช้าวันหนึ่งกบตัวนี้ก็มองดูพระภิกษุแล้วก็เกิดความคิดขึ้นว่า เป็นพระภิกษุนี้ก็ดีเนาะ ไม่ต้องทำมาหากินเหมือนชาวบ้าน ตื่นเช้ามาก็ไหว้พระสวดมนต์ ปัดกวาดใบไม้ เช็ดถูศาลาโรงฉัน จัดเตรียมที่ฉันเสร็จ แล้วก็ออกรับบิณฑบาต กลับมาก็ให้พร สวดพิจารณาอาหารก็ได้ฉันแล้ว ฉันเสร็จก็ล้างบาตรปัดกวาดเช็ดถู ก็ได้เวลาพัก บำเพ็ญสมณธรรมแล้ว  

           ขณะนั้นพระภิกษุฉันเสร็จแล้ว ก็ได้เอาข้าวที่เหลือไปให้กับไก่ ซึ่งเป็นไก่ที่เลี้ยงไว้ที่วัด กบก็เกิดความคิดขึ้นว่า เป็นไก่นี้สบายกว่าพระอีก ไม่ต้องออกไปบิณฑบาต นอนรอก็ได้กินข้าวแล้ว ไม่ต้องทำงานลำบากเหมือนพระ ยุ่งยากกว่าจะได้ฉัน ถ้าเราเป็นไก่น่าจะดี ในขณะที่ไก่กำลังกินอาหารอย่างมีความสุขอยู่นั้น ก็มีสุนัขตัวหนึ่งไม่รู้มาจากไหน วิ่งมาแย่งอาหารของไก่ ซึ่งกบก็มองดู ก็เกิดความคิดขึ้นว่า เป็นสุนัขนี้ดีจัง ไม่ต้องทำอะไร แถมมีอำนาจด้วย แย่งอาหารไก่ก็ได้ ถ้าเราเป็นสุนัขน่าจะดี สุนัขกินอิ่มแล้วก็ไปนอนอยู่ใต้ร่มไม้ ด้วยความสบายใจ

กบมองดูแล้วยิ่งมีความสุข เป็นสุนัขกินแล้วไม่ต้องทำงาน ในขณะที่สุนัขนอนหลับอยู่นั้น ก็มีแมลงวันบินมาจับที่จมูกสุนัข สุนัขก็ไม่มีความสุข ก็ย้ายที่นอนไปที่อื่น กบตัวนั้นมองดูแมลงวัน แล้วก็เกิดความคิดขึ้นว่า เป็นแมลงวันนี้ก็ดีเนาะ สามารถทำให้สุนัขตัวใหญ่รำคาญได้ด้วย ถ้าเราเป็นแมลงวันก็น่าจะดี สักพักหนึ่งแมลงวันตัวนั้นก็บินผ่านมาด้านหน้าของกบพอดี กบก็ตวัดลิ้นกินแมลงวันตัวนั้นอย่างมีความสุข แล้วกบก็อุทานขึ้นในใจว่า เป็นกบนี้ก็ดีเหมือนกัน อยู่เฉยๆ ก็มีแมลงบินมาเป็นอาหาร เป็นตัวของตัวเองดีที่สุดแล้ว กบคิดในใจ เรื่องก็จบลงแค่นี้

           (๓) หญิงสาวย้ายบ้านมาใหม่ พบว่าข้างบ้านเป็นครอบครัวยากจน ประกอบด้วยแม่หม้ายและลูกอีกสองคน คืนหนึ่งไฟฟ้าเกิดดับเธอจึงจุดเทียนไข เพื่อให้แสงสว่างแทนไฟฟ้า สักพักมีคนมาเคาะประตู เป็นเด็กข้างบ้านนั่นเอง เด็กน้อยสบตาเธอแบบประหม่า ถามว่า “คุณน้าครับในบ้านมีเทียนไหมครับ?” หญิงโสดคิดในใจ “คงจนถึงขนาดไม่มีเทียนไขสินะ! ช่างหัวมันเถอะ เดี๋ยวถ้าให้ไปแล้วจะเคยตัว” จึงตอบเด็กห้วนๆ ไปว่า “ไม่มี!”

ทั้งที่เทียนไขเธอมีเป็นโหลๆ เด็กน้อยยิ้มให้เธออย่างไร้เดียงสาบอกว่า “นึกแล้วว่าคุณน้าต้องไม่มี” พอพูดจบ ก็ควักเทียนไข ๒ เล่มออกจากอกเสื้อ ยื่นให้ บอกว่า “แม่ผม เป็นห่วงว่าคุณน้าอยู่คนเดียว คงไม่มีเทียนไข จึงเอามาแบ่งให้ครับ” หญิงสาวรู้สึกสะเทือนใจจนน้ำตาคลอ นั่งลงกอดเด็กไว้แน่น

           ในบางเวลา เราก็ไม่ได้มองโลกจากมุมอื่น เรามองแต่มุมของตัวเอง แล้วก็คิดเหมาเอาว่า คนอื่นก็คงเป็นอย่างที่เราคิด ถ้าเรามัวแต่อยู่กับความเชื่อส่วนตัว แล้วหาแต่มุมที่อับเฉาของคนอื่น น้ำใจคงหาจากใครได้ยาก ยิ่งหลงตนเองว่า ดีกว่าคนอื่นแล้ว เราอาจไม่ได้รับรู้ ความดีผู้ของผู้อื่นเลยว่า เขาอาจดีกว่าเราอีก

           เรื่อเล่าทั้งสามเรื่องของครูบาอาจารย์ คงให้คำตอบแก่ใจของเราเป็นอย่างดี มีพระพุทธพจน์บทหนึ่งที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ ชึ่งไม่ใช่ข้อสรุปของเรื่องเล่า แต่เป็นเพียงแนวทางให้เราได้ขบคิดต่อ พุทธพจน์บทนั้นว่า จิตฺเตน นียติ โลโก ซึ่งแปลว่า โลก (หรือชีวิต) หมุนไปเพราะความคิด

เพราะความคิดของเราเป็นฐานในการดำเนินชีวิต ถ้าเราคิดดี การกระทำก็ย่อมดีตามไปด้วย เมื่อเราคิดดี คิดบวก ชีวิตก็ดี มีความสุข ความคิดจึงมีอิทธิพลต่อชีวิตของเรามาก

           เรื่องเล่าของครูอาจารย์ทั้งสามเรื่องคงได้สะท้อนมุมมองของความคิดในการดำเนินชีวิตให้กับผู้อ่านทุกท่าน ว่าเราควรจะคิดอย่างไร และวางใจในเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิตอย่างไร  

           ขอให้มีความสุขกับการดำเนินชีวิตตลอดปี ตลอดไป ขอให้รักษากาย รักษาใจ และรักษาหน้าที่

           รักษากาย สิ่งมีพิษไม่นำเข้าสู่ร่างกาย สิ่งผิดกฎหมายไม่ทำ

           รักษาใจ ตื่นเช้าชำระร่างกาย อย่าลืมชำระล้างใจ ทำใจให้สะอาดผ่องใสตลอดเวลา

           รักษาหน้าที่ งานที่ทำก็ขอให้ทำด้วยความสุข อาจจะสุขบ้าง ทุกข์บ้าง ขอให้บอกกับใจเราว่า เราเป็นคนเลือกเอง รวมถึงครอบครัว สามี ภริยา อาจจะเข้าใจกันบ้าง ไม่เข้าใจกันบ้าง ก็เราเลือกแล้ว

           สุขทุกข์ ขอให้บอกกับใจเราว่า เดี๋ยวมันก็ผ่านไป อดทน ข่มใจ ใจเย็นๆ พอทนได้ สบายอยู่แล้ว

พระมหาอภิชาติ ธมฺมาภินนฺโท ผู้เขียน
พระมหาอภิชาติ ธมฺมาภินนฺโท ผู้เขียน

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here