๑ ธันวาคม ๒๔๑๗ – ๑ ธันวาคม ๒๕๖๖
น้อมรำลึกในโอกาสครบ ๑๔๙ ปี
วันคล้ายวันประสูติ
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
(อยู่ ญาโณทโยมหาเถร/ช้างโสภา ป.ธ.๙)
สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
สถิต ณ วัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (อยู่ ญาโณทโยมหาเถร) สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สถิต ณ วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ดำรงตำแหน่งเมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๖ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงดำรงตำแหน่งอยู่ ๒ พรรษา สิ้นพระชนมเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๘ พระชนมายุ ๙๑ พรรษา
ประสูติในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่เรือนแพหน้าวัดกัลยาณมิตร อำเภอบางกอกใหญ่ จังหวัดธนบุรี บิดาชื่อ ตรุษ มารดาชื่อ จันทน์
พระนามเดิม อยู่ นามสกุล (แซ่) ฉั่ว ต่อมาเปลี่ยนเป็น ช้างโสภา
เมื่อพระเยาว์ทรงรับการศึกษาเบื้องต้นในสำนักบิดาผู้เป็นบุรพาจารย์ และต่อมามีพระชนมายุพอสมควร ได้มาอยู่ในสำนักของพระอาจารย์ช้าง วัดสระเกศ ได้รับการศึกษาวิชาหนังสือ วิชาเลข ลูกคิด และโหราศาสตร์ ซึ่งเกี่ยวกับคติภูมิเป็นที่ไปของคน ได้ทรงเล่าเรียนสืบมาจนกระทั่งได้บรรพชาเป็นสามเณร จึงได้ทรงเริ่มศึกษาภาษาบาลี ทรงศึกษามูลกัจจายน์ (หลักสูตรการเรียนภาษาบาลีชั้นสูง) ในสำนักพระอาจารย์ช้าง ต่อมาได้ทรงศึกษาในสำนักท่านเจ้าคุณพระธรรมกิติ (เม่น) บ้าง ในสำนักเจ้าประคุณสมเด็จพระวันรัต (แดง) บ้าง และในสำนักพระธรรมปรีชา (ทิม) บ้าง
เมื่อพระชนมายุได้ ๑๒ พรรษา ได้ทรงบรรพชาเป็นสามเณรอยู่ในสำนักพระอาจารย์ช้าง วัดสระเกศ พระนคร ได้ทรงศึกษาสามเณรสิกขารวมทั้งพระธรรมและวินัยอันดีงามตลอดจนตำราโหราศาสตร์ทุกชนิด ปรากฏว่ามีพระปัญญาเฉียบแหลมมาก
พ.ศ. ๒๔๓๓ ครั้งยังเป็นสามเณรได้เข้าแปลพระปริยัติธรรมในสนามหลวง ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามเป็นครั้งแรก ได้เป็นเปรียญ ๓ ประโยค
ต่อมาในพ.ศ. ๒๔๓๖ ยังเป็นสามเณรเช่นเดิม ได้เข้าแปลพระปริยัติธรรมในสนามหลวงที่พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ได้เปรียญอีก ๑ ประโยค รวมเป็นเปรียญ ๔ ประโยค
จนถึงปีพุทธศักราช ๒๔๓๗ ทรงอุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดสระเกศ ฯ โดยมีสมเด็จพระวันรัต (แดง สีลวฑฺฒโน) วัดสุทัศน์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระธรรมทานาจารย์ (จุ่น) วัดสระเกศฯ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระธรรมกิตติ (เม่น พฺรหฺมสโร) วัดสระเกศฯ เป็นพระอนุสาวนาจารย์
เป็นที่น่าสังเกตว่า สมเด็จพระวันรัต (แดง สีลวฑฺฒโน) มีสมเด็จพระพุฒาจารย์ (สน) วัดสระเกศฯ เป็นอาจารย์ และ พระอุปัชฌาย์ ซึ่งเป็นที่อัศจรรย์ว่าทั้งสองวัดนี้มีความเกี่ยวเนื่องเหมือนวัดพี่น้องกันตั้งแต่ชั้นบูรพาจารย์
ต่อมาเมื่อ พ.ศ.๒๔๔๑ เข้าแปลพระปริยัติธรรมอีก ได้เป็นเปรียญ ๕ ประโยค
และ พ.ศ.๒๔๔๓ ได้เป็นเปรียญ ๖ ประโยค
เมื่อสอบได้เปรียญ ๖ ประโยคแล้ว ก็คิดว่าจะหยุดไม่เข้าแปลอีกต่อไป ทรงทราบถึงพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงมีรับสั่งให้เข้าแปลประโยค ๗ ต่อไป จึงต้องรับสนองพระกระแสรับสั่งเข้าแปลต่อไป และแปลได้อีก ๑ ประโยค เป็นเปรียญ ๗ ประโยค (เรื่องนี้ท่านเจ้าพระยาวิชิตวงศ์วุฒิไกร เมื่อดำรงตำแหน่งเป็นเสนาบดีกระทรวงธรรมการเวลานั้น นำพระกระแสรับสั่งมาบอก)
จากนั้น พ.ศ. ๒๔๔๔ ได้เข้าแปลพระปริยัติธรรมในสนามหลวง แปลได้อีก ๑ ประโยค ได้เป็นเปรียญ ๘ ประโยค
พ.ศ. ๒๔๔๕ ได้เข้าแปลประโยค ๙ ต่อไป และก็ได้เป็นเปรียญเอก ๙ ประโยค ในปีนั้น
อนึ่ง ท่านเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช (อยู่ ) ได้เป็นเปรียญธรรม ๙ ประโยค เป็นรูปแรกในรัชกาลที่ ๕ เมื่อพระชนมายุ ๒๘ พรรษา และได้รับพระมหากรุณาธิคุณให้นำรถมาส่งจนถึงที่เป็นพิเศษ และนับตั้งแต่นั้นมา ถ้าเปรียญรูปใดสอบไล่ได้ ๙ ประโยค ก็ทรงพระกรุณาโปรดให้นำรถส่งเปรียญรูปนั้นจนถึงที่เป็นธรรมเนียมมาจนถึงบัดนี้
อีกประการหนึ่ง ท่านเจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ นับตั้งแต่ได้เข้าแปลพระปริยัติธรรมมาตั้งแต่ประโยคต้นจนประโยคสุดท้าย ไม่เคยแปลตกเลย
ลำดับสมณศักดิ์
พ.ศ. ๒๔๕๑ เป็นพระราชาคณะ ในราชทินนามที่ พระปิฎกโกศล
พ.ศ. ๒๔๖๔ เป็นพระราชาคณะชั้นราช ในราชทินนามที่ พระราชเวที ตรีปิฎกภูสิต ธรรมบัณฑิต ยติคณิศร บวรสังฆาราม คามวาสี
พ.ศ. ๒๔๖๖ เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ในราชทินนามที่ พระเทพเวที ตรีปิฎกคุณสุนทรธรรมภูสิต ยติคณิศร บวรสังฆาราม คามวาสี
พ.ศ. ๒๔๗๐ เป็นพระราชาคณะชั้นธรรม ในราชทินนามที่ พระธรรมเจดีย์ กวีวงศนายก ตรีปิฏกบัณฑิตมหาคณฤศร บวรสังฆารามคามวาสี
พ.ศ. ๒๔๘๘ เป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรอง ชั้นหิรัญบัฏ ในราชทินนามที่ พระธรรมวโรดม บรมญาณอดุลย์ สุนทรนายก ตรีปิฎกคุณาลังการภูสิต สุทธิกิจสาทร มหาคณฤศร บวรสังฆาราม คามวาสี
พ.ศ. ๒๔๙๖ เป็นสมเด็จพระราชาคณะ ในราชทินนามที่ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ญาณอดุลสุนทรนายก ตรีปิฎกวิทยาคุณ วิบุลคัมภีรญาณสุนทร มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี อรัณยวาสี
พ.ศ. ๒๕๐๖ ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช มีพระนามว่า สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สุขุมวิธานธำรง สกลมหาสงฆปริณายก ตรีปิฎกโกศล วิมลคัมภีรญาณ ญาโณทยาภิธานสังฆวิสุต พุทธบริษัทคารวสถาน ธรรมปฏิภาณญาณสุนทร บวรธรรมบพิตร สมเด็จพระสังฆราช
พระองค์ทรงอุปถัมภ์ส่งเสริมการศึกษาพระปริยัติธรรม ทั้งแผนกบาลี และนักธรรม ให้เจริญก้าว หน้ายิ่งขึ้น เป็นองค์อุปภัมภ์กิตติมศักดิ์ของมหาจุฬาราชวิทยาลัย ตั้งแต่เริ่มเปิดการศึกษาเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๐ ตลอดมา
ทรงบูรณปฏิสังขรณ์ พระบรมบรรพต (ภูเขาทอง) วัดสระเกศฯ จนสำเร็จเรียบร้อยดังที่เห็นอยู่ปัจจุบัน เป็นปูชนียสถานที่เริ่มสร้างมาแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นศรีสง่าแก่กรุงเทพมหานครมาจวบถึงปัจจุบัน
พระอวสานกาล
โดยปกติเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช มีพระพลานามัยดีตลอดมา แต่เพราะทรงชรา พระองค์จึงประชวรด้วยโรคพระหทัย และได้ทรงเข้ารับการรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลศิริราช เมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๐๘ เพียง ๔ วันเท่านั้น พระองค์ก็เสด็จกลับมาประทับที่วัด พระอาการดีขึ้นโดยลำดับจนปลอดภัย จนถึงวันที่ ๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๘ ได้เกิดพระโลหิตอุดตันในสมอง คณะนายแพทย์ได้นำพระองค์ไปรับการรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลอีก แต่ครั้งนี้พระอาการหนักมาก คณะนายแพทย์พยายามถวายการพยาบาลทุกวิถีทาง พระอาการก็ไม่ดีขึ้น
พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ ๙) ทรงทราบพระอาการประชวร ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมถึง ๒ วาระ และในวาระหลัง สมเด็จเจ้าฟ้าชาย (พระอิสริยยศขณะนั้น) ได้โดยเสด็จด้วย ได้มีพระกระแสรับสั่งให้คณะนายแพทย์เอาใจใส่ให้มาก
คณะองคมนตรีก็ได้เสด็จเยี่ยมและไปเยี่ยมหลายวาระ ตลอดถึงคณะรัฐบาล ข้าราชการ พ่อค้า และประชาชน ได้ไปเยี่ยมและคอยสดับข่าวกันทุกระยะด้วยความห่วงใย
ฯพณฯ จอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรี ได้ไปเยี่ยมหลายวาระเช่นกัน และได้สนใจอยู่ตลอดเวลา สั่งให้คณะนายแพทย์ถวายการรักษาให้ดีที่สุด แต่เพราะ ท่านเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช ทรงชรามากแล้ว สุดที่คณะนายแพทย์จะถวายการพยาบาลรักษาพระชนมชีพไว้ได้
พระองค์สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๘ เวลา ๐๒.๒๐ น. ซึ่งหากนับโดยสุริยคติในปัจจุบัน ตรงกับ วันเพ็ญกลางเดือน วันวิสาขบูรณมี สิริพระชนมายุได้ ๙๐ พรรษา ๕ เดือน ๑๔ วัน พรรษา ๗๑ ทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช เป็นเวลา ๒ ปี กับ ๑๑ วัน
พระคติธรรรมจากพระพร
ของสมเด็จพระสังฆราช ญาโณทยมหาเถระ สมเด็จพระสังฆราช
เรื่อง พรหมวิหาร ๔
จากหนังสือ “ญาโณทยปกรณ์ (คัมภีร์ญาโณทัย) งานสมโภชพระสุพรรณบัฏ พระสังฆราช ญาโณทยมหาเถระ วันที่ ๒๒-๒๓ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๐๖ ได้บันทึก พระพรของสมเด็จพระสังฆราช ญาโณทยมหาเถระ ไว้ว่า
พระพุทธโฆสมหาเถระ ชาวพุทธคยา ได้อาศัยพระดำรัสของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กล่าวดังต่อไปนี้ว่า พระพุทธเจ้าเป็นมารดา พระธรรมเป็นบิดา พระสงฆ์เป็นพี่
ด้วยอำนาจที่พระพุทธเจ้าทรงเป็นมารดา เพราะทรงคลอดพรหมจรรย์ ด้วยอำนาจที่พระธรรมเป็นบิดา เพราะความเป็นพรหมในทางศาสนา ด้วยอำนาจที่พระสงฆ์เป็นพี่ เพราะร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน ขอหญิงและชายที่มาในที่นี้ และมิได้มาในที่นี้ จงมั่งคั่งและไม่มีโรค ปราศจากทุกข์ และไม่มีอุปัทวันตราย ขอภิกษุสามเณร อุบาสกอุบาสิกาทั้งหลาย จงได้รับอานิสงส์แห่งการปฏิบัติชอบ อันมีสุขเป็นกำไร
ด้วยอานุภาพและด้วยเดชแห่งพระรัตนตรัย ด้วยอำนาจแห่งบุญที่ได้ทำแล้วแต่ก่อนก็ดี เดี๋ยวนี้ก็ดี ทุกเมื่อจงเป็นเหตุให้ชาติไทยรุ่งเรือง พระศาสนาปราศมลทิน
ขอพระเจ้าแผ่นดินทรงมีพระชนมายุยืนยาว พร้อมทั้งพระบรมราชินีนาถ พระโอรสพระธิดา พระประยูรญาติและข้าราชบริพาร พร้อมด้วยสมเด็จพระราชชนนี พระบรมวงศานุวงศ์ อย่าได้มีความคับแค้นพระทัย ภัยในลัทธิไหนๆ ก็ไม่มี ขอคณะรัฐบาล พร้อมทั้งอำมาตย์และข้าราชการ จงมีความสุข ขอการกินดีอยู่ดีจงมีอย่างสมบูรณ์แก่ประชาชนทั้งหลาย ขอความยินดีปรีดาปราโมทย์ ซึ่งประกอบด้วยประโยชน์และชอบธรรม จงมีทั่วกันเทอญ.
จากหนังสือ “ญาโณทยปกรณ์ (คัมภีร์ญาโณทัย) งานสมโภชพระสุพรรณบัฏ พระสังฆราช ญาโณทยมหาเถระ วันที่ ๒๒-๒๓ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๐๖”
อ้างอิงจาก
วิถีแห่งผู้นำ : สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) ๒๒. กลับคืนสู่กรุงเทพมหานคร อีกครั้ง ๒๓. สมเด็จพระสังฆราช (อยู่ ญาโณทยมหาเถร) สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ ๑๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เรียบเรียงโดย พระครูอมรโฆสิต (ปรีชา สาเส็ง) https://www.manasikul.com/%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%96%e0%b8%b5%e0%b9%81%e0%b8%ab%e0%b9%88%e0%b8%87%e0%b8%9c%e0%b8%b9%e0%b9%89%e0%b8%99%e0%b8%b3-%e0%b8%aa%e0%b8%a1%e0%b9%80%e0%b8%94%e0%b9%87%e0%b8%88%e0%b8%9e%e0%b8%a3-3/
ค่าแห่งคำอธิษฐาน : ๔. พรหมวิหาร สมเด็จพระสังฆราช (อยู่ ญาโณทยมหาเถร) เรียบเรียงโดย พระครูอมรโฆสิต (ปรีชา สาเส็ง) https://www.manasikul.com/%e0%b8%84%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b9%81%e0%b8%ab%e0%b9%88%e0%b8%87%e0%b8%84%e0%b8%b3%e0%b8%ad%e0%b8%98%e0%b8%b4%e0%b8%a9%e0%b8%90%e0%b8%b2%e0%b8%99-%e0%b9%94-%e0%b8%9e%e0%b8%a3%e0%b8%ab%e0%b8%a1/