ขอขอบคุณ ภาพจากกลุ่มเพื่อชีวิตดีงาม
ขอขอบคุณ ภาพจากกลุ่มเพื่อชีวิตดีงาม

เขียนจดหมายถึงพระพุทธเจ้า

รื่องที่อยากเล่าให้พระพุทธเจ้าฟัง ตอนที่ ๘

 “พระอาจารย์เป็นไอดอลของลูกศิษย์”

โดย พระใบฎีกาคทาวุธ คเวสกธมฺโม

ภาพ จากขวา พระมหาไกรวรรณ์ ชินทตฺติโย , พระมหาขวัญชัย กิตฺติเมธี และ พระมหานภันต์ สนฺติภทฺโท
ภาพ จากขวา พระมหาไกรวรรณ์ ชินทตฺติโย , พระมหาขวัญชัย กิตฺติเมธี และ พระมหานภันต์ สนฺติภทฺโท

          พระมหาไกรวรรณ์ ชินทตฺติโย ป.ธ.๙ ,ดร.  ได้เล่าถึงบรรยากาศ และกระบวนการทำงานค่ายครั้งแรกของกลุ่มเพื่อชีวิตดีงาม ในหนึ่งเหตุการณ์ที่น่าสนใจคือท่านเล่าว่าลูกศิษย์รุ่นนั้นยังตามดูแล และช่วยงานพระศาสนากับคณะพระอาจารย์มาโดยตลอดจนถึงทุกวันนี้

           ซึ่งอาตมาก็มีโอกาสได้รู้จักกับลูกศิษย์รุ่นแรก ๆ ของการทำงานค่ายที่พระอาจารย์ได้กล่าวถึงหนึ่งในนั้นคือ “หนิง” เพราะเห็นมาช่วยงานอาจารย์พระมหาวีระพันธ์ ชุติปญฺโญ (พระนักคิด นักเขียน นามปากกา “ชุติปัญโญ”)

           และอาตมาได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดป่าโสมพนัส จังหวัดสกลนคร จึงได้เจอเธอที่ไปปฏิบัติธรรมในครั้งนั้นเช่นกัน จากการแนะนำของอาจารย์พระมหาวีระพันธ์ ชุติปญฺโญ จึงได้มีโอกาสสนทนาธรรมกับเธอ เมื่อทราบว่าอาตมาเป็นพระวิทยากรกลุ่มเพื่อชีวิตดีงาม และมีครูบาอาจารย์คนเดียวกัน  เธอจึงได้เล่าถึงการเข้าค่ายกับกลุ่มเพื่อชีวิตดีงามให้ฟัง

         ในขณะนั้นอาตมารู้สึกว่าเธอมีความสุขมากที่ได้เล่าถึงการเข้าค่ายครั้งนั้น เธอนั่งพับเพียบ พนมมือ พร้อมมีรอยยิ้มที่เอิบอิ่มในขณะเล่าไปด้วย

ขอขอบคุณ ภาพจาก กลุ่มเพื่อชีวิตดีงาม
ขอขอบคุณ ภาพจาก กลุ่มเพื่อชีวิตดีงาม

           เมื่อทราบข่าวว่าจะมีการการจัดค่าย เธอบอกว่ารู้สึกตื่นเต้นมากเป็นพิเศษ เพราะเป็นการได้เข้าค่ายร่วมกับเพื่อน ๆ ในรุ่นราวคราวเดียวกัน เธอยังได้เล่าต่ออีกว่า ระหว่างที่เข้าอบรมสนุกมาก ได้รับความรู้จริงๆ ค่ะ เป็นความรู้ที่ย่อยมาแล้ว เรียบง่าย และ เข้าใจง่ายมาก พระอาจารย์หลายๆ รูปมีเอกลักษณ์ในการถ่ายทอดต่างกัน แต่หนิงจำได้หมด (เพราะหนิงจดบันทึกไว้ค่ะ) พระอาจารย์บางรูปจะสอดแทรกนิทาน บางรูปจะสอนผ่านกลอน บางรูปจะมีคำคม ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นความประทับใจที่พระอาจารย์สามารถถ่ายทอดให้พวกเรารู้สึกว่าเป็นค่ายที่สนุกมากๆ ค่ะ ไม่น่าเบื่อแม้แต่นาทีเดียว 

         ส่วนได้เรียนรู้อะไรบ้างจากการเข้าอบรม สำหรับตัวหนิงเอง สิ่งที่ได้เรียนรู้นั้น ส่งผลมาจนถึงปัจจุบันค่ะ เพราะสิ่งที่พระอาจารย์สอน คือ เสมือนหนึ่งว่าเราได้รู้จัก “หัวใจของพระพุทธศาสนา” ที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ฝากเป็นหลักธรรมคำสอนให้เหล่าพุทธศาสนิกชนได้นำมาปฏิบัติเพื่อ “ความสุข และ ความสันติ” ในชีวิต  

         และยังสอนให้เราได้รู้จักวิธีการดำรงตนอย่างมีสติ และ ไม่ประมาทในการใช้ชีวิต ซึ่งเป็นหลักธรรมข้อหนึ่งที่สำคัญมากสำหรับชีวิตเรา บ่อยครั้งเราเผลอทำอะไรผิด หรือ ไม่ทันได้คิด เพราะ “เราขาดสติ” นั่นเอง

“สำหรับหนิง คิดว่าตัวเองคือคนที่โชคดีที่สุดในโลก ที่ครั้งหนึ่งได้รับการอบรมจากค่ายธรรมะนี้ เพราะทุกเรื่องที่พระอาจารย์อบรมสั่งสอนนั้น สามารถทำให้หนิงมีความสุขกับทุกๆ วัน และ มองโลกด้วยความเข้าใจ”

         อาตมาถามเธอต่อไปอีกว่า เข้าอบรมในครั้งนั้น เธอประทับใจพระอาจารย์รูปไหน และชอบกิจกรรมอะไรมากที่สุด เธอเล่าต่อไปว่า

         เป็นคำตอบที่ตอบยากมาก เพราะทุกๆ รูปมีความเป็น “ไอดอลสำหรับหนิงแตกต่างกัน” และทุกกิจกรรมที่คณะพระอาจารย์จัดมาก็ประทับใจมาก ลงตัวทุกกิจกรรมค่ะ ส่วนความประทับใจพระอาจารย์ ถ้าต้องยกมาเพียง ๑ รูปจริงๆ

หนิงยกให้ พระอาจารย์มหาวีระพันธ์ ชุติปัญโญ ค่ะ เพราะท่านถ่ายทอดด้วยนิทาน  และเวลาท่านอบรมท่านเข้าใจนักเรียน มีเมตตา อีกทั้งได้รู้จักท่านมากขึ้นหลังจากจบค่าย ท่านจะเน้นย้ำเรื่องการให้มากๆ ค่ะ

พระมหาวีระพันธ์ ชุติปัญโญ (นามปากกา “ชุติปัญโญ”)
พระมหาวีระพันธ์ ชุติปัญโญ (นามปากกา “ชุติปัญโญ”)

         จนทุกวันนี้ หนิงก็ได้นิสัยการให้มาจากท่าน หนิงชอบซื้อหนังสือดีๆ ให้เพื่อนๆ และ ลูกค้า เพราะถ้าหนังสือดี หนิงอยากให้เค้าได้อ่านด้วยค่ะ หนิงชอบซื้อขนมแจกเด็กๆ หนิงชอบทำบุญ และให้ทาน หนิงชอบส่งต่อสิ่งดีๆ หนิงชอบเขียนเรื่องราวดีๆ บนเฟซบุ๊กตัวเอง ที่หนิงเป็นแบบนี้ เพราะหนิง “เคยได้รับจากพระอาจารย์มาก่อน” ทั้งหมดจึงเป็นเหตุผลที่หนิงประทับใจพระอาจารย์มหาวีระพันธ์ ชุติปัญโญ ค่ะ ถ้าจะต้องหาเหตุผลอะไรมาเพิ่มอีกคงเล่าไม่หมดจริงๆ ค่ะ เพราะเยอะมากๆ ค่ะ  

           ที่น่าสนใจคือ ในปัจจุบันนี้เราจะเห็นวัยรุ่นหนุ่มสาวติดตามเน็ตไอดอลบนโลกโซเชียล แต่เธอเล่าว่าเมื่อจบค่ายแล้วเธอกับเพื่อน ๆ ประทับใจกับการเข้าค่ายเป็นอย่างมาก และเห็นพระอาจารย์แต่ละรูปคือไอดอลของพวกเธอ จึงได้ให้พระอาจารย์แต่ละรูปได้เขียนไดอารี่ เป็นข้อคิด ธรรมะ ฝากท้าย เป็นที่ระลึกให้กับพวกเธออีกด้วย

และเธอได้บอกว่าแม้การเข้าค่ายในครั้งนั้นจะผ่านมากว่า ๑๖ ปีแล้ว เธออยากจะขอบคุณคณะพระอาจารย์ทุก ๆ รูป และคณะครูโรงเรียนดอนเมืองจาตุรจินดาทุกท่าน ที่ทำให้ค่ายในวันนั้นเกิดขึ้น เพราะการเข้าค่ายครั้งนั้น มันมีผลต่อชีวิตจนมาถึงปัจจุบัน
           อาตมาถามเธอต่อว่าแม้จะผ่านมากว่าสิบปี มันส่งผลกับชีวิตในปัจจุบันอย่างไร

         เธอเล่าว่า สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการเข้าอบรมในครั้งนั้น ส่งผลต่อชีวิต ณ ปัจจุบันของหนิงมากค่ะ เพราะทำให้หนิงชื่นชอบ “ธรรมะ” และ

สำหรับหนิง “ธรรมะ”

เปรียบเสมือนอาหารดีๆ

อากาศดีๆ อารมณ์ดีๆ

ความคิดดีๆ และ สติดีๆ

“ทุกช่วงของชีวิตคนเรานั้นอาจจะเอนเอียงไปตามสังคม และสิ่งแวดล้อมที่อยู่  แต่สำหรับหนิงจะใช้ธรรมะ เป็นกรอบในการดำเนินชีวิต หนิงเลยมั่นใจได้ว่า หนิงโชคดีที่ครั้งหนึ่งได้เข้าอบรมธรรมะ และพยุงตนให้อยู่ในหลักศีลและหลักธรรมเสมอมา

           “ธรรมะมีคุณค่ามากต่อชีวิตของเด็กคนหนึ่ง อย่างน้อยที่สุดก็ได้รักธรรมะ และ ได้นำหลักคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเป็นกรอบในการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข และ มีสติ ไม่ประมาทในทุกๆ เรื่องค่ะ”

           นี่คือคำสะท้อนของลูกศิษย์ที่อาจารย์พระมหาไกรวรรณ์ ชินทตฺติโย ป.ธ. ๙ ท่านได้กล่าวถึงในจดหมายฉบับก่อน เป็นสิ่งที่ตั้งใจจะเล่าถวายพระพุทธองค์ว่าธรรมะของพระองค์ที่กลุ่มเพื่อชีวิตดีงามได้มาบูรณาการใช้เป็นหลักสูตรหรือกระบวนการอบรมนั้นสามารถเปลี่ยนชีวิตคนได้จริง ๆ ทำให้เด็กคนหนึ่งมีฐานใจที่ดีงาม มีหลักในการดำเนินชีวิตที่สามารถพบกับความสุขได้ทุก ๆ วัน

           และจากคำบอกเล่าของพระอาจารย์ที่เห็นว่าจัดค่ายครั้งแรกกระบวนการอบรมที่ออกแบบมานั้นได้ผลค่อนข้างดี พระอาจารย์ท่านคิดถึงขนาดอยากจะเอากระบวนการนี้ไปจัดให้กับเด็ก ๆ ในบ้านเกิดของท่านด้วย

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

เขียนจดหมายถึงพระพุทธเจ้า…เรื่องที่อยากเล่าให้พระพุทธเจ้าฟัง ตอนที่ ๘ “พระอาจารย์เป็นไอดอลของลูกศิษย์” โดย พระใบฎีกาคทาวุธ คเวสกธมฺโม

(จากคอลัมน์ หน้าพระไตรสรณคมน์ นสพ. คมชัดลึก วันพฤหัสบดีที่ ๒๖ พฤศจิกายนพ.ศ.๒๕๖๒)

พระใบฎีกาคทาวุธ คเวสกธมฺโม ผู้เขียน
พระใบฎีกาคทาวุธ คเวสกธมฺโม ผู้เขียน

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here