บันทึกระหว่างทาง เล ดาลัก (ตอนที่ ๑) หลง,พลาด หรือคลาดเคลื่อน

โดย พระมหาขวัญชัย กิตฺติเมธี ป.ธ.๙, ดร.

         เหตุเกิดที่สนามบินเดลี

ระหว่างทางของชีวิตการทำงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาทั้งในประเทศและต่างประเทศ สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันก็คือ การได้เรียนรู้สภาวะจิตใจเราเองตลอดการทำงานและการเดินทาง  เพราะไม่ว่าสิ่งที่เราทำจะดีอย่างไร แต่ถ้าเราไม่ได้น้อมมาพิจารณาภายในใจ ก็เท่ากับว่า เราหลงทางไหลไปตามสิ่งภายนอกอย่างเดียว นี้ประการหนึ่ง

และอีกประการหนึ่งคือ เราควรจะเห็นไตรลักษณ์เสมอ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นทั้งภายนอกและภายในใจ เมื่อข้อมูลที่เก็บไว้หายไป เราจะทำอย่างไร ฉบับนี้จึงขอเปิดบันทึกระหว่างทางที่พบเจอไปเมื่อครั้งที่เดินทางไป leh Ladakh มาฝากกัน เป็นการเปลี่ยนสถานที่ไปยังดินแดนที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลหมื่นกว่า feet

ความสูงระดับนี้ทำให้อากาศเบาบาง ต้องระวังอาการข้างเคียง เช่น หน้ามืด ตาลาย นอนไม่หลับ เป็นต้น การปรับตัวง่ายๆ ก็แค่นอนพักให้ร่างกายปรับตัวอย่างน้อยสัก ๒๔ ชั่วโมง แต่เราไม่มีเวลาพอ ถ้าอย่างนั้นสัก ๕ ชั่วโมง ก็คงพอสำหรับนักเดินทางที่เร่งรีบอย่างเรา

แต่คำว่า “เร่งรีบ” อาจใช้กับที่นี่ไม่ได้ ไม่ว่าจะอยากใช้หรือไม่ เพราะเมื่อวานทำให้รู้ถึงความรู้สึกนี้ดี ที่จริงเราต้องเดินทางมาที่ leh Ladakh ตั้งแต่วันที่ ๑๓ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๘ คือเมื่อวาน แต่สายการบินแจ้งว่าอากาศทางนี้ไม่ดี ฝนตกหนัก เครื่องขึ้นไม่ได้ เราจึงได้มาวันที่ ๑๔ แทน

เรื่องคือว่า เรามารอต่อเครื่อง ที่สนามบินเดลี โดยบินมาจากปูเน่เพื่อต่อเครื่องไป leh Ladakh เรามาถึงประมาณตีหนึ่งรอขึ้นเครื่องประมาณหกโมงเช้า แต่เครื่องดีเลย์เลื่อนมาเรื่อยๆ จนถึงเก้าโมง ทางสายการบินแจ้งว่าอากาศไม่ดี แต่เราเห็นว่าอีกสายการบินไปได้ ทำให้อารมณ์ของผู้โดยสารเริ่มคุกรุ่น ทั้งเหนื่อย และง่วง บรรยากาศจึงไม่ดีนัก เสียงฝรั่งหลายคนต่อว่าเจ้าหน้าที่สายการบิน จนกลายเป็นม็อบเล็กระหว่างผู้โดยสารกับเจ้าหน้าที่

แต่เราเลี่ยงออกมาดูสถานการณ์อยู่ห่างๆ พยายามหาเหตุผลดีๆ มาปลอบใจตัวเองว่าถ้าไปแล้วไม่ปลอดภัยก็อย่าเสี่ยงดีกว่า ส่วนนักชะตานิยมก็เชื่อว่าเขาอาจไม่ให้เราไป แต่ถูกกลุ่มกรรมนิยมเชื่อว่าไม่ใช่เขาหรอกไม่ให้ไป เราต่างหากไม่ไปเอง ถ้าตัดสินใจกลับหรือไม่ไปต่อ ก็อย่างคำสอนของท่าน bhikkhu sanghasena เจ้าอาวาสวัด mahabodhi ที่เราได้ไปพักที่ leh ท่านกล่าวถึง the pathless path คือ หนทางนั้นไม่มี มีเพียงเราต้องสร้างทางด้วยตนเอง

เจ้าหน้าที่ (jet airway) แก้ปัญหาด้วยการพาเราไปรับอาหารเช้าให้เราอารมณ์ดีขึ้น ก่อนจะพาเราไปประตูของ air India ทุกคนมีใบหน้าเต็มไปด้วยความหวัง เพราะมีบางคนพูดกันว่าอาจจะได้ไปต่อกับ air India แต่หวังนั้นก็จบลงเมื่อเขาพาเราเดินผ่านไป และตรงไปรับกระเป๋าเป็นอันหมายรู้ว่าเราอาจไม่ได้ไปแน่

พอรับกระเป๋าเสร็จ ผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นฝรั่งเดินไปออที่ป้าย jet airway เต็มไปหมด เสียงเริ่มดังขึ้นจากการต่อรอง ก่อนทุกคนจะทยอยเดินออกมาหลังจากเจ้าหน้าที่บอกว่าให้รอรับข่าวจากเจ้าหน้าที่ประมาณบ่ายสามโมง (ตอนนั้นประมาณ ๑๑ โมงเช้า) เหลือคณะเรานั่งรอกับฝรั่งไม่กี่คน

สำหรับเราตอนนั้นต้องรออย่างเดียว ไม่มีใครคิดว่าจะมาเจอแบบนี้ ปัญหาตอนนี้ไม่ใช่แค่ง่วงและหงุดหงิดอีกต่อไป แต่เป็นว่า เราจะหาอะไรมารองท้อง โดยเราออกนอกสนามบินไม่ได้ เพราะตั๋วโดนยกเลิกก่อนหน้านี้แล้ว นึกถึงทอม แฮงค์ในภาพยนตร์เรื่อง the terminal ที่ต้องอาศัยในสนามบินไปไหนไม่ได้ขึ้นมาทันที สงสัยงานนี้มีอาบน้ำและนอนในสนามบินแน่ๆ แต่เรื่องนั้นเอาไว้ห่วงทีหลังดีกว่า ตอนนี้มาห่วงเรื่องอาหารก่อน

เราพยายามนำอาหารที่มีในกระเป๋ามาแบ่งกัน บางคนพยายามเดินไปรอบๆ ก็เห็นร้านอาหารของขบเคี้ยวเล็กที่มีขนมเคี้ยวเล่นที่บางห่อก็มีรอยหนูแทะ และสภาพซองที่วางมานานจนฝุ่นจับจนไม่มีใครกล้าเสี่ยง เรามาจบลงที่ตู้แช่มีขนมคบเคี้ยวพออิ่มท้อง

โยมพยายามต่อรองเจ้าหน้าที่สนามบิน โดยอ้างว่าพระต้องฉันอาหาร เขาเลยอนุญาตให้เวลา  ๕ นาทีในการออกไปซื้ออาหารข้างนอก และคงเป็น  ๕ นาทีในชีวิตที่ทำให้เรากลับมารู้สึกดีอีกนิดท่ามกลางเรื่องแย่ๆ มากมาย

แต่ปัญหาก็ยังไม่จบ คือถ้าถึงเวลาบ่ายสามโมงแล้งเราไม่ได้บินจะทำอย่างไร หรือถ้าได้บินพรุ่งนี้ หรือหนักกว่านั้นอีกวันสองวันละ จะไปพักที่ไหน เพราะเจ้าหน้าที่ไม่มีอะไรยืนยันทั้งสิ้น ด้วยความเหนื่อยไม่ได้พักทั้งคืนจึงมีเสียงว่าจะหาเครื่องกลับเมืองไทยกันดีไหม? แต่บางคนยังแอบหวังลึกๆ ว่าอาจได้ไป

แต่ขณะที่ทุกคนดูวุ่นวายใจ ภิกษุณีที่เป็นไกด์พาเรามาครั้งนี้กลับดูสงบนิ่ง เหมือนนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจอ เพราะเธอเป็นคนที่นี่คงเคยผ่านเรื่องนี้มาหลายครั้ง ผิดกับเราที่เป็นครั้งแรกที่เจอ

ช่วงรอผ่านไปพร้อมกับผู้คนที่เดินผ่านไปมาไม่ขาด ภาพคนตกเครื่อง ไร้ที่ไป ต้องเอาศีรษะวางบนกระเป๋าแล้วหลับบนเก้าอี้ ทำให้เราเข้าใจหัวอกคนเหล่านี้มากขึ้น

เรารอจนมีฝรั่งตกเครื่องเช่นกันบอกว่าเขาได้รับข้อความที่ได้รับจาก jet airway ให้มาขึ้นเครื่องตอน ๙ โมงเช้า เราจึงเอาข้อมูลนี้ไปถามเจ้าหน้าที่ก็ยืนยันอย่างเดียวกัน

รอดแล้ว ได้ไปเสียที… แต่บางคนกลับเริ่มไม่แน่ใจว่าจะเป็นอย่างนั้น แต่ก็เข้าใจอินเดียมากขึ้น เพราะอะไรก็เป็นไปได้เสมอในอินเดียแห่งนี้…

คอลัมน์ ท่องเที่ยวโลกกะธรรม หน้าพระไตรสรณคมน์ นสพ.คมชัดลึก

วันพฤหัสบดีที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๒ โดย พระมหาขวัญชัย กิตฺติเมธี ป.ธ.๙, ดร.

พระมหาขวัญชัย กิตติเมธี ปธ.๙ ดร.
พระมหาขวัญชัย กิตติเมธี ป.ธ.๙ ดร.
ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาพระวิทยากร สำนักงานส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม และความมั่นคงแห่งสถาบันชาติ
พระศาสนา พระมหากษัตริย์ วัดสระเกศฯ

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here