วันนี้จะชักชวนให้สำรวจชีวิตของตนเองบ้าง​  ไม่น้อยคนเลย… ลืมที่จะสำรวจตรวจสอบชีวิต ไม่ก็คิดฟุ้งเดินไปข้างหน้าอย่างเดียวโดยไม่มองกลับมาดูข้างหลัง​  หรือบางคนคิดไปเปรียบเทียบกับคนอื่นที่สูงกว่าจนทำให้ทุกข์ใจ​ ดูถูกตนตอกย้ำใจให้ตกต่ำ​แล้วก็ไม่สามารถทำอย่างอื่นได้​  เพราะติดกับดักความคิดของตนขังไว้​

ชีวิตภายนอก​ กับชีวิตข้างใน

จาริกธรรมอเมริกา (ตอนที่ ๘)

โดย พระครูสมุห์สุพัฒน์ อนาลโย พระธรรมทูต ประเทศสหรัฐอเมริกา กลุ่มเพื่อชีวิตดีงาม

ชีวิตที่เกิดมาบนโลกใบนี้​ โชคดีเรายังอยู่ในยุคของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า​โคตมถึงแม้พระองค์จะปรินิพพานไปสองพันกว่าปีแล้ว   พระธรรมคำสอนที่พระองค์ไปค้นพบตรัสรู้เป็นพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว​ ทรงมีพระเมตตาสั่งสอนให้สาวกได้รู้ตามจนมาถึงเราในยุคปัจจุบัน

เราโชคดีแล้วอยู่ที่เราจะเดินทางตามรอยบาทพระศาสนาของตนไหม…

ช่วงหนึ่งๆ ของชีวิตมีขาขึ้นทำให้มีความสุข ทำอะไรๆ ก็ผ่านลุล่วงไปได้ด้วยดี สะดวกสบายไปทุกอย่างทำได้ดั่งใจต้องการไปหมด​ ไม่อยากได้มันดันกลับมาได้​ จากเรื่องราวหนักๆ ก็กลับกลายมาเป็นเรื่องเบาเล็กน้อย

และเมื่อขาลงมาถึง มีแต่ปัญหาร้อยแปดรุมเร้าเข้าทุกสารทิศ ทำให้หนักอกหนักใจ ทุกข์ใจ หนักหัว ปวดหัว หาความสุขได้ยาก​ ปัญหาเรื่องเล็กก็ทำให้เป็นเรื่องใหญ่โตได้ ​เป็นระยะเวลาที่หลุมความทุกข์ใจของชีวิต

ผู้เขียนเชื่อเหลือเกินว่า​ ทุกคนเคยผ่านช่วงเวลาของชีวิตที่ขาขึ้นขาลงมาไม่มากก็น้อยมันเป็นบทเรียนให้รับรู้เป็นความทรงจำทั้งดีและไม่ดี​  แต่เราก็สู้ฝ่าฟันปัญหาอุปสรรคนั้นมาได้แล้ว​  จงภูมิใจในตนเองที่ประคับประคองใจจนมาถึงขนาดนี้ได้นับว่ายอดเยี่ยมแล้ว

ชีวิตที่น่าคิดมีอยู่​ ๒​ อย่าง​ คืออะไรบ้าง

ชีวิตภายนอก​ หมายถึง​ ชีวิตที่เป็นอยู่ตอนนี้​  หรือการดำรงใช้ชีวิตที่เราเกิดมาบนโลกใบนี้​ มีพ่อแม่​  ลูกหลาน​  ญาติพี่น้อง  มิตรสหาย​  ที่เราเกี่ยวข้องกับบทบาทหน้าที่ทั้งหมด​ 

ขอยกตัวอย่าง​  คนในครอบครัว​ประกอบด้วยพ่อแม่พี่น้อง​ ผู้เขียนเคยได้ผ่านช่วงเวลาของชีวิต​ ๓๐ ​ปีกว่าที่ผ่านมา​ ที่ได้สัมผัสใกล้ชิดชีวิตคนกับความตาย​ครั้งแรกได้เห็น​ คุณตา​เสียชีวิต​ ต่อมาพี่ชาย​ และแม่ ขณะเดียวกันลุงก็ได้เสียตามกันไป​ 

ทำไมต้องยกตัวอย่างเกี่ยวกับบุคคลใกล้ตัว​ เพราะทุกคนย่อมเจอมากับเองแล้ว​  นี่คือความจริงที่พระพุทธองค์ตรัสสั่งสอนเราว่าทุกคนย่อม​เจอกับความเกิด​  แก่​  เจ็บ​  ตาย​  เป็นธรรมดา​ บ้านทุกบ้านไม่เคยมีคนตายคงเป็นไปได้อยากมาก

ชีวิตภายนอก​ เป็นของจริงที่เทียม​ 

เพราะชีวิตจริงที่เราเกี่ยวข้องกันกับพ่อแม่ได้พูดได้คุยกันร่วมสุขร่วมทุกข์มาตั้งแต่เกิดจนมาเสียชีวิตลาจากกันไป​  มันเหมือนกับความฝัน​เวลาตื่นขึ้นมันจบก็เหลือไว้เพียงความทรงจำ​ หรือละครชีวิตมันจบก็เหลือไว้เพียงความทรงจำ​ คนใกล้ชิดหรือผู้ที่เรารักที่สุดจบชีวิตลงก็เหลือไว้เพียงความทรงจำจริงๆ​ 

ดูเหมือนว่ามันเป็นของจริง แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่ของจริงๆ​ ความทรงจำที่ดีก็เหมือนฝันดี​ มีความรู้สึกดีทุกครั้งที่คิดถึง​ มันก็ผ่านไปตามกาลเวลาเสียแล้ว​  และทางกลับกันเหมือนฝันร้ายทุกข์ใจถ้าหวนกลับไปคิดถึงมัน

ควรทำอย่างไร​  ?

ควรปล่อยวาง​ ทั้งความทรงจำทั้งดีและไม่ดี​ ทำใจให้เป็นกลางยอมรับได้ทั้งหมดสามารถทำใจเป็นปกติเฉยๆ ได้​  ถ้ามันคิดขึ้นมาอีก ทำใจให้เป็นกลางรับได้หมด เหมือนเราดูละครจบ​ ปล่อยวางมันไปมันก็จบ​ แล้วทำหน้าที่ของตนต่อไป​

ชีวิตข้างใน​  เป็นของจริง

หมายถึง​ จิต​ใจ ความคิด​ภายใน​  เคยได้ยินคำว่า​ “​ ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว ” ไหม ความคิดของเราก็มีอยู่สองอย่าง​คือ  ดีกับชั่ว​ 

คิดดี ก็ส่งผลมาถึงกายให้ทำตามความคิดที่ดี​  เช่น คิดเห็นอกเห็นใจพ่อแม่หรือผู้อื่น​ ก็ช่วยเหลือด้วยความเต็มอกเต็มใจไม่หวังผลตอบแทน​ และพูดจาไพเราะ​  พูดให้กำลังใจ​กันคู่สามีภรรยา​ นายจ้างกับลูกจ้าง เป็นต้น

ความคิดที่ไม่ดีนำพากายทำในสิ่งที่ไม่ดีตามความคิด​ เช่น​ คิดอิจฉา​ ริษยา​ เคียดแค้น​ อาฆาตพยาบาท​ ภาษาบ้านเราคือ​ ไม่พอใจ​  ไม่ถูกใจ​ หมั่นไส้​  ทำดีเกินหน้าเกินตา​ ไม่ได้ดั่งใจก็พลอยโกธร​  เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม​ ​ความคิดที่ดี​ ก็ส่งผลดี​  ถ้าคิดไม่ดีก็ส่งผลไม่ดีกลับมา​ และความคิดเป็นกลาง​ ดีก็รู้ว่าดี​  ชั่วก็รู้ว่าชั่ว​  ทำใจให้ยอมรับทั้งดีและชั่วได้​  แยกแยะคิดดีก็ทำดีต่อไปแต่ไม่ติดดี​  คิดชั่วก็รู้ว่าไม่ดีก็ไม่ทำตามความคิดที่ชั่ว​ แล้วใจก็จะเป็นปกติเย็นสบายมีความสุขภายใน

ดังนั้น​  ชีวิตภายนอกคือ​ ความจริงที่เราหรือกายได้เป็นตัวแสดงละครชีวิตเรื่องราวต่างๆ ทั้งสุข ทั้งทุกข์ ทั้งเฉยๆ บนโลกใบนี้​  ไปจนกว่าร่างกายเสื่อมทรามลง

ชีวิตข้างในคือ​ ความจริง​ หรือจิตเป็นผู้กำกับเรื่องราวของชีวิตให้กายได้แสดงตามบทบาทที่จิตกำหนดให้ในทิศทางที่ดี​ ไม่ดี​ และเฉยๆ​  ไม่มีที่สิ้นสุด จนกว่าจิตจะปกติสุข​ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมชาติ​  หรือมีความรู้สึกตัวอย่างต่อเนื่องเอง​โดยอัตโนมัติ​ หรือจะเรียกว่า จนกว่าจิตเป็นธรรมชาติของจิต​โดยแท้​ คือ  มีสติตลอดเวลานั่นเอง

” ควรปล่อยวาง​ ทั้งความทรงจำทั้งดีและไม่ดี​ ทำใจให้เป็นกลางยอมรับได้ทั้งหมดสามารถทำใจเป็นปกติเฉยๆ ได้​  ถ้ามันคิดขึ้นมาอีก ทำใจให้เป็นกลางรับได้หมด เหมือนเราดูละครจบ​ ปล่อยวางมันไปมันก็จบ​ แล้วทำหน้าที่ของตนต่อไป”​

“ชีวิตภายนอก กับ ชีวิตข้างใน” จาริกธรรมอเมริกา (ตอนที่ ๘)

จาก คอลัมน์ ธรรมลิขิต หน้าธรรมวิจัย วันอังคารที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๖๒ โดย พระครูสมุห์สุพัฒน์ อนาลโย พระธรรมทูตประเทศสหรัฐอเมริกา กลุ่มเพื่อชีวิตดีงาม สำนักงานส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม และความมั่นคงแห่งสถาบันชาติ พระศาสนา พระมหากษัตริย์ วัดสระเกศฯ

พระครูสมุห์สุพัฒน์  อนาลโย ผู้เขียน พระธรรมทูต ประเทศสหรัฐอเมริกา
พระครูสมุห์สุพัฒน์ อนาลโย ผู้เขียน พระธรรมทูต ประเทศสหรัฐอเมริกา

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here