การทำงานของพระธรรมทูตอาสา
เราทำงานกันตามปณิธานพระพุทธองค์ว่า
“ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเที่ยวจาริกไป เพื่อประโยชน์แก่ชนเป็นอันมาก” …
“ไม่มีใครไร้คุณค่า ถ้าเรายังคงรักกัน”
โดย พระมหาขวัญชัย กิตฺติเมธี ป.ธ.๙, ดร.
จากการถอดบทเรียน “ โครงการเยี่ยมพระพบปะโยม” เมื่อวันที่ ๑๕-๒๒ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๙ ที่พระธรรมทูตอาสาห้าจังหวัดชายแดนใต้ ลงพื้นที่ให้กำลังใจกับพระสงฆ์และให้ธรรมะกับชาวบ้านในจังหวัดสงขลาและปัตตานี โดยสำนักงานส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม และความมั่นคงแห่งสถาบันชาติ พระศาสนา พระมหากษัตริย์ วัดสระเกศ
วันนั้นเหล่าพระธรรมทูตอาสาพื้นที่ ๕ จังหวัดชายแดนใต้ ลงพื้นที่โดยการจัดขบวนมีรถยนต์ ๑๐ กว่าคัน มีรถฮัมวี่ รถกระบะ และรถเก๋ง นำโดยรถตำรวจพร้อมเจ้าหน้าที่ทหารสองนายนั่งบนกระบะท้าย รถวิ่งออกจากวัดบูรพาราม จังหวัดปัตตานี มุ่งตรงสู่หมู่บ้านไทยพุทธที่เหลือน้อยเพียงแค่ ๒ ครอบครัว ตลอดเส้นทางเป็นทางเป็นถนนลาดยางสลับกับถนนดิน
บ่ายวันนั้นอากาศดี ท้องฟ้าแจ่มใส มีเพียงขบวนรถของเราเท่านั้นที่วิ่งอยู่บนท้องถนน แต่ละจุดที่รถวิ่งผ่านมีทหารยืนรักษาความปลอดภัยประจำจุดหลายนาย บางนายยืนอยู่ริมถนน บางนายซ่อนอยู่จนเราไม่อาจมองเห็นได้ แต่ทหารจะเห็นกันตลอดเวลาเพื่อระวังภัยกันและกัน ตลอดเส้นทางดูเงียบสงบ พื้นนาเต็มไปด้วยน้ำ แต่ข้าวก็ยังชูยอดอยู่เหนือพื้นน้ำ
บางคนเกิดความสงสัยว่าที่นี่ใช้อะไรเกี่ยวข้าว เพราะน้ำเยอะขนาดนี้ ก็ได้คำตอบว่า “ที่นี่ใช้แกะในการเกี่ยวข้าว ซึ่งแกะมีรูปร่างเล็กๆ ใช้มือเดียวในการจับ และ ตัดรวงข้าวทีละรวง เนื่องจากภาคใต้น้ำจะท่วมจึงปลูกข้าวที่มีลำต้นสูง การใช้แกะจึงสะดวกกว่าการใช้เคียวแบบภาคกลางที่รวงข้าวสั้นกว่า” พระธรรมทูตอาสาที่อยู่ในพื้นที่ภาคใต้อธิบาย
มองไกลออกไปเป็นป่าที่บ้านคนตั้งอยู่ห่างๆ กัน ไม่มีใครสักคนให้เห็นตลอดเส้นทาง มีเพียงวัวกินหญ้าเป็นฝูง ต้นมะพร้าวที่เอนไปมาด้วยแรงลม รถวิ่งลึกเข้าไปจนไปถึงบ้านหลังหนึ่งตั้งอยู่โดดเดี่ยว ด้านหลังบ้านติดแม่น้ำ บรรยากาศเย็นสบายน่าอยู่ โยมเจ้าของบ้านกำลังนั่งรอ
คณะพระธรรมทูตและโยมลงเยี่ยมเกือบๆ ๒๐ กว่าท่าน จนเจ้าของบ้านพูดทั้งรอยยิ้ม
“ตกใจไม่นึกว่าจะมาเยอะขนาดนี้”
หลังจากทักทายทำความรู้สึกกันแบบชาวพุทธ โยมเจ้าของบ้านเล่าให้ฟังว่า
“แต่ก่อนที่นี่ อยู่ด้วยกันอย่างสงบ ใครไม่มีอะไรก็ไปมาหาสู่กัน หยิบยื่นไมตรีแก่กันตลอด ไทยมุสลิมไม่มีมะพร้าวก็ไปหาไทยพุทธก็ได้มะพร้าวมา ไทยพุทธไม่มีปลา มาเยี่ยมไทยมุสลิมก็ได้ปลากลับไป “
เดี๋ยวนี้ไม่ใช่แบบนั้นอีกแล้ว แต่ที่อยู่มาได้จนทุกวันนี้ เพราะชอบบรรยากาศและอยู่ตรงนี้มานานจนไม่รู้จะอยู่ไหน”
คณะพระธรรมทูตอาสาฟังอย่างเงียบสงบ ทั้งเห็นใจและเข้าใจความยากลำบาก จึงให้ศีล ให้พรกันตามแบบที่จะช่วยเยี่ยวกันได้ ดูทั้ง ๓ ท่านมีใจเบิกบานขึ้น ก่อนเดินทางต่อ พระธรรมทูตอาสาเห็นข้าวของในบ้านเรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบ ชวนให้สงสัยว่า “นี่ยายเก็บเสบียงไว้เยอะเลย”
“ไม่ใช่ไว้กิน ใช้เอง นี่เป็นของไว้ขายนะท่าน” เจ้าของบ้างพนมมือตอบ
ทำให้ชวนสงสัยยิ่งไปอีกว่า “แล้วโยมขายให้ใครแถวนี้ เพราะตลอดเส้นทางที่วิ่งมาแถบจะไม่มีบ้านคนเลยสักหลัง”
“ขายให้ทหารนะค่ะท่าน ขายแบบกันเอง ไม่แพง ให้ทหารไม่ต้องลำบากเดินทางไปไกล จะได้ดูแลเราด้วย ต่างคนต่างช่วยเหลือกัน”
คำตอบของยายเป็นการแสดงน้ำใจต่อกัน เพราะถ้าเรานึกแต่ว่า การขายของย่อมต้องหวังกำไรนั้น เราอาจได้เงินเป็นกำไร แต่ไม่ได้ใจคน แต่ถ้าเราขายแบบช่วยกัน เราอาจไม่ได้เงินเป็นกำไร แต่จะได้ใจเขา และกำไรนี้มีค่ามากกว่าเงินเป็นไหนๆ
ด้วยเวลาที่มีอยู่น้อย (ต้องไปเยี่ยมที่อื่นอีก) เราจึงเดินไปต่อไปยังบ้านอีกหลังที่อยู่ห่างออกมา ตรงนี้เป็นบ้านที่อยู่กันหลายคน แต่กลับเงียบสงบ เสียงตะโกนเรียกชื่อเจ้าของบ้านดังมาจากโยมที่ไปกับคณะของเรา ยายเจ้าของบ้านจึงค่อยๆ เปิดประตูออกมา ที่บ้านนี้มียายบางคนตาบอด บางคนก็ตาเริ่มมองไม่เห็น ความเป็นอยู่ต้องช่วยเหลือกันตลอด พระธรรมทูตอาสาจึงนั่งลงแล้วสวดมนต์ให้กำลังใจด้วยเสียงที่ดังทำลายความสงบเงียบ
เมื่อใดที่เสียงสวดมนต์ยังดังอยู่ ความทุกข์ใจก็จะจางหายไป ยิ่งสวดมนต์นานเท่าใด ดูจะสร้างปีติใจให้มากขึ้นขึ้นเท่านั้น
ปกติเวลาความสุขที่เกิดจากปีติจะแสดงออกด้วยรอยยิ้ม แต่วันนั้นกลับแสดงออกทางน้ำตา เป็นน้ำตาแห่งความสุขใจที่ไหลอาบแก้มยายทั้งสาม
แม้ยายจะมองเห็นหรือไม่เห็นก็ตาม แต่เราก็รับรู้ได้ว่า “ใจยายมีความสุข และมีกำลังใจเพิ่มอย่างแน่นอน” เหล่าพระธรรมทูตอาสาและชาวพุทธอาสาทุกคนที่ไปก็ปีติใจไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน
เราเดินทางกันต่อด้วยปีติใจมากกว่าที่เคย เห็นทั้งคุณค่าในตัวเองที่ทำเพื่อผู้อื่น และทำให้คนอื่นเห็นคุณค่าของตัวเอง เป็นการต่อเติมเสริมกันและกัน ให้เห็นว่าคุณค่าในชีวิตของเรานี้ อยู่ใต้ร่มเงาเดียวกันคือ “ชาติ” “พระพุทธศาสนา” และ “พระมหากษัตริย์” เราล้วนพี่น้องกัน ญาติกัน ใช่ใครอื่น
จากคอลัมน์ ” ท่องเที่ยวโลกกะธรรม”
เรื่อง “ไม่มีใครไร้คุณค่า ถ้าเรายังคงรักกัน”
โดย พระมหาขวัญชัย กิตฺติเมธี ป.ธ.๙, ดร.
หน้าพระไตรสรณคมน์ นสพ.คมชัดลึก วันพฤหัสบดีที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๖๒
“คุณค่าในชีวิตของเรานี้ อยู่ใต้ร่มเงาเดียวกันคือ “ชาติพระพุทธศาสนา และ “พระมหากษัตริย์” เราล้วนพี่น้องกัน ญาติกัน ใช่ใครอื่น“