สดๆ จากสนามกีฬาในโรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่ง เมื่อเช้านี้
ข้าพเจ้าไม่ได้ไปวิ่งนานแล้ว นานจนนำไม่ได้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี
ฟังดูเหมือนหลับไปนาน ก็จริงสินะ แม้ว่าลืมตา บ่อยครั้งข้าพเจ้าก็ยังคิดว่าหลับอยู่
เพราะมัวแต่อยู่ในอาณาจักรของความคิด
เช้านี้ หลังจากใส่บาตรพระผู้เมตตาเดินเท้าเปล่าออกบิณฑบาตโปรดญาติโยม
ให้เรียนรู้วิถีแห่งบุญ วิถีแห่งการสละละตัวตนโดยการให้ทาน
ยามเช้าแห่งการให้ จึงเป็นยามเช้าที่สดใหม่ตลอดเวลา
เพราะการให้ทำให้รู้ว่า เวลาที่เหลืออยู่ คือของขวัญ
ก็เลยคิดว่า ถึงเวลาแล้วที่จะให้ของขวัญกับตัวเองบ้าง
เพราะลืมให้ของขวัญตัวเองไปนานมาก
ก็เลยออกเดิน…
ในสนามฟุตบอลเล็กๆ ของโรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่ง
ที่เปิดให้ผู้คนในชุมชนมาออกกำลังกาย
ไม่เว้นแม้แต่เสาร์-อาทิตย์
ระหว่างเดิน ก็คิดไปบ้าง สลับกับการออกมาจากความคิดมารู้สึกตัวบ้าง
เจอใครมาเดินก็ทักทายด้วยการยิ้มให้กันบ้าง
และแล้ว ก็คาดไม่ถึง
เมื่อมีชายหนุ่มคนหนึ่งเลี้ยงสุนัขดุๆ พามันมาอึในสนามกีฬา
แล้วก็ปล่อยมือที่จับเชือกคล้องหมาออกวิ่งไปพร้อมๆ กับหมา
หลังจากนั้น หมาออกนอกเส้นทางกับเจ้าของ
ขณะที่คนอื่นๆ เหมือนรู้ทัน กลับออกไปจากสนามกีฬาแล้ว เหลือข้าพเจ้าเพียงลำพัง
และกำลังจะนำโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูว่าเดิน-วิ่งไปได้กี่กิโลเมตร
ในขณะนั้นเอง
หมาที่เจ้าของให้มันวิ่งอย่างเป็นอิสระโดยปราศจากการจูง
มันก็วิ่งเห่ามาหาข้าพเจ้า เตรียมกระโจนงับ
ข้าพเจ้าก็ปากไว รีบเรียกเจ้าของหมาว่า หมาของคุณกัดไหม
เจ้าของบอกว่า ถ้าหมามันอยู่กับเจ้าของหมาจะไม่กัด
แต่ตอนนี้ หมาไม่ได้อยู่กับเขานี่นา
อ้าว ทำไงดีล่ะเรา
จะออกวิ่ง หมาคงไล่งับแน่เลย
ข้าพเจ้าก็เลยหยุด หมาก็หยุด และจ้องข้าพเจ้าพักหนึ่ง
จากนั้นข้าพเจ้าก็หันหลังให้มัน คิดว่า ถ้ามันกัดข้างหลังก็ดี จะไม่โกรธ
พอหันหลังไป หมาก็วิ่งไปอีกทาง
ข้าพเจ้าแปลกใจ ก็นึกขึ้นได้ เสื้อข้างหลังเขียนว่า… สงบ สว่าง ว่าง
ข้าพเจ้ามาคิดเอาเองว่า สุนัขคงรู้ภาษา
ไม่ก็เกิดเมตตาขึ้นมาในทันทีทันใด
ก็เลยเดินจากไปโดยไม่งับ
เช้านี้ ข้าพเจ้าเดินและวิ่งได้หกกิโลเมตรกว่าๆ ในเวลาเกือบสองชั่วโมง
และพบความกรุณาในแววตาสุนัขดุๆ ตัวหนึ่ง
หมอนไม้บันทึก
๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๒