เดินทางไปกับพระธรรมทูตเชิงปฏิบัติการ …แบบใสซื่อ
ก้าวต่อก้าวอย่างมีสติ และการเรียนรู้สภาวะจิตทุกขณะ
เปิดเผย จริงใจ ไม่มโน…
ยินดีต้อนรับสู่รัฐมิสซิสซิปปี
ณ วัดพุทธเมตตามหาบารมี
จาริกธรรมในอเมริกา (ตอนที่๒)
โดย พระครูสมุห์สุพัฒน์ อนาลโย กลุ่มเพื่อชีวิตดีงาม สำนักงานส่งเสริมธรรม
หลังจากสหธรรมมิก และพี่น้องมาส่งขึ้นเครื่องบินสายการบินเจแปนแอร์ไลน์ ก่อนที่จะเช็คอินเข้าในสนามบินสุวรรณภูมิ
ผู้เขียนเดินทางมากับเพื่อนพระด้วยกันสามรูปรู้สึกตื่นเต้นเป็นระยะๆ มันคือประสบการณ์ใหม่ครั้งแรก เริ่มต้นจากศูนย์ทุกอย่าง เช่น กระเป๋าเดินทางใช้ครั้งแรกพี่สาวซื้อมาให้ใหม่ เพื่อนร่วมเดินทางก็เป็นเพื่อนใหม่หมด นั่งเครื่องบินไกลที่สุด ภาษาก็ไม่ได้ ไม่เคยไปอเมริกาเลยเคยได้ยินแต่ชื่อเท่านั้น
ส่วนผู้เขียนถือย่ามสามเณรทรูปลูกปัญญาธรรมหนึ่งใบ กระเป๋าเดินทางขนาดเล็กใบหนึ่งก่อนถือขึ้นเครื่อง ต้องเข้าไปตรวจเช็คสิ่งของต่างๆ ในย่าม กระเป๋าเดินทาง และถอดรองเท้าตรวจด้วย เข้าเครื่องสแกน ทั้งสามรูปเดินผ่านประตูตรวจความปลอดภัยผ่านทั้งหมดทุกรูป
แต่เจ้าหน้าที่เลือกผู้เขียนว่า “ท่านขอตรวจของพาวเวอร์แบงค์หน่อยค่ะ…” พระตกใจนิดหน่อยก็หยิบออกจากกระเป๋าใบเล็กๆ ยื่นให้เจ้าหน้าที่ตรวจ ผลปรากฏว่า “ผ่าน” เจ้าหน้าที่ยื่นกลับมาให้ รอดๆ แล้ว(พูดในใจ) เขาให้ถือขึ้นเครื่องบินได้ไม่กิน ๓๐,๐๐๐ โวลต์ ของผู้เขียนมี ๑๐, ๐๐๐ โวลต์
เดินต่อไปอีกเจอเจ้าหน้าที่ประทับตราอนุญาตให้ผ่านสามารถไปต่างประเทศได้
บทเรียนแรกเริ่มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ต้องใช้รถเข็นกระเป๋ากับเพื่อนคนละคันไปหา Gate F6 เพื่อไปนั่งรอขึ้นเครื่องไปลงที่สนามบินญี่ปุ่นชื่อว่า “ฮะเนดะ” เมืองโตเกียว จัดของในกระเป๋าเตรียมหมวกไหมพรมถุงเท้าและผ้ากันหนาวใส่ย่ามไว้เผื่อช่วยบรรเทาความหนาวได้บ้าง
สักพักเสียงประชาสัมพันธ์ประกาศให้ไปขึ้นเครื่องบินไปลงที่สนามบินฮะเนดะ พระทั้งสามลุกขึ้นไปเข้าแถวรอขึ้นเครื่องบินมือขวาสะพายย่ามมือซ้ายลากกระเป๋าไปหาเบอร์ที่นั่ง(52A)ของตนบนเครื่อง พนักเจ้าหน้าที่บอกไปทางขวามือ พอถึงที่นั่งตนเองแล้วเก็บกระเป๋าวางไว้บนชั้นวางกระเป๋า ส่วนย่ามเอาไว้ใต้ที่นั่งของเพื่อนข้างหน้า นั่งติดหน้าต่างเรียงคู่กับเพื่อนถัดไปที่นั่งที่สามเป็นของโยม
เครื่องบินออกไปได้สักพักเริ่มเย็นที่หัวก็ใส่หมวกไหมพรม เย็นที่เท้าทั้งสองข้างหยิบเอาถุงเท้ามาใส่ เพื่อบรรเทาความเย็น ซึ่งโยมนกแนะนำ ถ้าเท้าเราเย็นอาจจะไม่สบายเป็นหวัดได้นะ พอนึกได้รีบใส่ทันทีเลย
เครื่องบินออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิไปสู่สนามบินฮะเนดะนั้น ระหว่างทางได้นั่งนึกคิดถึงญี่ปุ่นจะเป็นอย่างไร น้องสาวบอกว่าให้ถ่ายภาพภูเขาไฟฟูจิมาให้ดูด้วยนะและนี้เป็นครั้งแรกของชีวิตเราที่มาญี่ปุ่นเหมือนกัน
บรรยากาศในเครื่องบินเหลียวมองดูรอบๆ เห็นผู้คนมากมายมีอิริยาบถที่แตกต่างกัน บางคนนั่งเล่นมือถือ ดูหนัง ฟังเพลง ในจอเล็กๆ ที่อยู่ข้างหน้าของผู้นั่ง อ่านหนังสือภาษา บางคนก็นอนหลับ พูดคุยกันกับคนที่มาด้วยเช่น เพื่อนหรือแฟน เป็นต้น
ผู้เขียนก็หลับๆ ตื่นๆ สลับกันไปมาหลายรอบ มารู้สึกตัวอีกรอบมาถึงสนามบินญี่ปุ่นแล้วเวลาประมาณ ๖ โมงเช้าที่สนามบินมีฝนตกเหมือนฝนจะดีใจ (คิดไปเอง)
เมื่อลงจากเครื่องบินอยากเข้าห้องน้ำ อาจารย์ศรีแนะนำว่าห้องน้ำที่ญี่ปุ่นไม่เหมือนที่อื่นนะ เป็นห้องน้ำที่ทันสมัยมาก มีปุ่มให้กดหลายปุ่ม ซึ่งผู้เขียนไม่รู้เรื่องอะไรเลย ก่อนเข้าห้องน้ำถามเพื่อนใช้อย่างไรบ้าง ท่านก็แนะนำอย่างนั้นอย่างนี้เหมือนเข้าใจแต่ไม่เข้าใจอะไร เพราะเราไม่รู้แท้ๆ
เมื่อพระบ้านนอกก้าวเข้าสู่ประเทศที่มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยอำนวยความสะดวกสบายให้แก่ชีวิตทุกอย่าง มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือ อำนวยความสะดวกประหยัดเวลา ข้อเสียคือทำให้คนติดความสบายสะดวกเกินไปไม่ดีจะขาดเกี่ยวกับการช่วยเหลือพึ่งพาตนเอง
เพื่อนบอกวิธีใช้ห้องน้ำจบก็เข้าไปในห้องน้ำล็อคประตูเรียบร้อยแล้ว สมใจมุ่งหมายตามความต้องการ อ้าวจะทำอย่างไง หาปุ่มกดชักโครกไม่เจอมันไม่เหมือนกับบ้านเรา
สังเกตเห็นปุ่มกดเรียงกันหลายปุ่มก็ไม่แน่ใจก็ไม่กล้ากด เหลียวไปเห็นไฟกระพริบสีแดงน่าจะใช่ตรงนี้ยื่นมือไปที่นั้นปรากฏว่ามันเซ็นต์เซอร์น้ำลงชะล้างสิ่งปฏิกูลหายไปดีใจที่สามารถใช้เทคโนโลยีล้างสิ่งปฏิกูลได้ด้วยตนเอง โอ้… เวรกรรมจะเปิดประตูอย่างไรที่นี้
เอามือผลักประตูตั้งหลายรอบก็ไม่ออก
ขณะนั้น…ผู้เขียนมีความคิด ถ้าเราออกไปไม่ได้จะทำอย่างไรดี จะร้องเรียกเพื่อนก็กระไรอยู่ มันน่าเกลียดเพื่อนกำลังทำธุระส่วนตัวอยู่ ผลักแล้วผลักอีกปรากฏว่าประตูก็นิ่งเสียงคนก็ไม่มี
ตั้งสติดูประตูอีกครั้งมันเป็นประตูพับ โอ้ยเนาะ…เขาให้เราเลื่อนประตูไปทางซ้ายมือ พอเลื่อนประตูไปทางด้านซ้ายมือเท่านั้นล่ะ อ้าวทำไม… ออกง่ายจัง…รอดตายอีกแล้วเรา
พอออกมาจากห้องน้ำแล้วแปรฟันล้างหน้าที่อ่างน้ำด้านนอกอย่างสบายใจก่อนไปรับกระเป๋าเดินทาง
พระสามรูปเดินไปด้วยกัน เพื่อไปรับกระเป๋าคืน เดินไปตามลูกศรบอกถึงที่รับกระเป๋าแล้ว มีคนต่างชาติทั้งญี่ปุ่นฝรั่งและพระไทยสามรูป เขาให้ไปกรอกแบบฟอร์มเข้าเมืองก่อนกรอกเสร็จแล้วเดินไปเข้าแถวค่อยขยับเคลื่อนไปที่ละก้าวๆ สะพายย่าม ลากกระเป๋าเดินทางใบเล็กไปด้วย
ที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง ประทับตราที่พาสปอร์ตด้านนี้ ผู้เขียนกับอาจารย์ศรีผ่าน แต่อาจารย์เอกรินทร์ ถูกเจ้าที่หน้าถามว่า จะไปไหน? ตอบว่า สนามบินชิคาโก้
เจ้าหน้าที่ถามว่า จะอยู่ที่นี่กี่วัน? ตอบว่า จะไปต่อเครื่องบินวันนี้เลย เหตุที่ถามเพราะไม่ได้เขียนระบุว่าจะอยู่ที่นี่กี่วันในที่สุดก็ผ่านมาได้ด้วยกัน
ทั้งสามรูปเดินไปเอากระเป๋าเดินทางที่โหลดลงใต้ท้องเครื่องบินรูปละสามใบใส่รถเข็นไปต่อแถวกับคนอื่น พอถึงเจ้าหน้าที่ตรวจเขาถามว่า “ได้กรอกแบบฟอร์มหรือยัง” ผู้เขียนว่า… ยังเลย… เจ้าหน้าที่บอกว่า “เชิญไปกรอกแบบฟอร์มก่อน”... ขอบคุณครับ
ทั้งสามรูปเข็นรถกระเป๋ากลับมากรอบแบบฟอร์มต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าเขียนหมดรอบแรกก็ไม่มั่นใจที่เขาถามว่า คุณเคยเข้ามาในประเทศญี่ปุ่นหรือเป็นบุคคลที่ต้องห้ามเข้ามาในประเทศนี้ แล้วให้กากบาทลงในช่องที่ว่า (Yes, No) ตกลงกันว่าเราจะเขียนเหมือนกัน
เขียนรอบแรกไม่เอา เขียนใหม่อีกรอบ จนเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเข้ามาบอกให้เรากรอกแบบฟอร์มตามตัวอย่างที่เป็นภาษาไทย ตอนนี้เขียนแวบเดียวไม่ถึง ๕ นาทีเอง ผ่านอีกด่านและเข็นรถผ่านไปได้อย่างมั่นใจ
อาจารย์ศรีเป็นผู้นำทั้งการเดินทางและเรื่องภาษาประสานงานติดต่อพูดคุยอาศัยท่านหมดเลย ในคราวครั้งนี้ก็เช่นกัน…พอเข็นรถกระเป๋าผ่านมาแล้วก็เจอปัญหาอีกว่าเราจะไปขึ้นรถไปสนามบินนาริตะได้ที่ไหน…?
อาจารย์ศรีเป็นผู้นำเดินหาป้ายรถที่จะไปสนามบินนาริตะอยู่นั้น มีโยมผู้หญิงคนหนึ่งน่าจะเป็นพนักงานในสนามบินนี้
อาจารย์ศรีถามว่า “จะไปสนามบินนาริตะได้อย่างไร”
พนักงานว่า “ต้องไปซื้อตั๋วรถก่อน”
อาจารย์ศรีถามว่า” จากสนามบินนี้ไปสนามบินนาริตะใช้ระยะเวลาเท่าไร”
พนักงานว่า “จากนี่ไปสนามบินนาริตะเปรียบเทียบสนามบินดอนเมืองไปสนามบินสุวรรณภูมิ”
อาจารย์ศรีท่านไปซื้อตั๋วรถ ๓ ใบไปที่สนามบินนาริตะเที่ยวที่ ๕ ทั้งสามลงลิฟท์ไปชั้นล่างที่ป้ายรถบัสปรากฏว่ารถเที่ยวที่ ๕ ออกไปแล้วเหลือเที่ยวต่อไปต้องรออีกสามสิบชั่วโมง กลัวจะไม่ทันเครื่องบิน กระเป๋ายังไม่ได้โหลดอีก เวลาเหลือสองชั่วโมง
อาจารย์ศรีพากันขึ้นไปข้างบนไปถามเจ้าหน้าที่สายการบิน เจแปนแอร์ไลน์ คุณสามารถเช็คอินตั๋วออนไลน์ได้ไหม เขาบอกว่า ไม่ได้คุณต้องไปเช็คอินที่โน่นเท่านั้นและแนะนำทางออกให้โดยให้นั่งรถแท็กซี่… จึงตัดสินใจนั่งแท็กซี่กัน… ยังดีเขาก็ยังเสียสละเวลาทิ้งเวลางานของเขาลงมาส่งขึ้นแท็กซี่ขนกระเป๋า ๙ ใบ ขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว กล่าวคำขอบคุณเจ้าหน้าที่คนนั้น
แล้วรถก็เคลื่อนล้อหมุนมุ่งหน้าไปที่สนามบินนาริตะทันที ฝนก็ตกปรอยๆ คนขับก็รีบทำเวลาให้จนถึงเป้าหมาย ใช้เวลาชั่วโมงครึ่ง ค่ารถ ๒๐,๐๐๐ เยน จากนั้นเปิดประตูรถทั้งสามและคนขับรถช่วยกันขนกระเป๋าลงจากรถใส่รถเข็นทันทีรีบเข้าไปในสนามบินนาริตะหาเจแปนแอร์ไลน์เพื่อเช็คอินก็เจอพอดี
เจ้าหน้าที่ถามว่า จะไปไหน อาตมาตอบ จะไปที่สนามบินชิคาโก้ พนักงานคนนี้ใจดีเช็คอินตั๋วและพร้อมโหลดกระเป๋าให้ และแล้วกลับมาเจอปัญหาอีกครั้ง พาสปอร์ตอาจารย์เอกรินทร์ ชื่อท่านตกไปตัวอักษรหนึ่ง คำว่าพระมหาเอกรินทร์ ตกตัวรอเรือ “ร” เจ้าหน้าที่ก็โทรศัพท์คุยกันปรึกษากัน
พระทั้งสามภาวนาในใจสวดมนต์แผ่เมตตาให้ผ่านๆ โชคดีที่เจ้าหน้าที่ใจดีให้ผ่าน ส่วนน้ำหนักกระเป๋าก็เกินมาหนึ่งกิโลกรัม เขาให้ ๒๓ กิโลกรัมเกินมา ๑ กิโลกรัม เขาบอกว่าครั้งนี้ฉันให้โอกาสคุณเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ขอบคุณมากๆ ก็ผ่านไปด้วยดีที่ไม่ต้องตกเครื่องบิน
เข้าไปรอขึ้นเครื่องข้างในก็ตรวจกะเป๋าย่าม ผ่านสแกนหมด ไม่มีปัญหา เดินไปตามเกตรอเข้าแถวขึ้นเครื่องตามหมายเลขที่เขากำหนดให้ที่เข้าแถวต่อท้ายฝรั่งไปนั้น ค่อยๆ เคลื่อนแถวไปเรื่อยจนมาถึงเราอยู่ข้างหน้าอาจารย์ศรี เขาถามว่าจะเช็คกระเป๋าไหม อาจารย์ศรีบอกว่าเช็คก็เช็ค ก็เลยนำกระเป๋าเข้าไปในห้องให้เจ้าหน้าที่เช็คตรวจที่ตัวเราด้วยไม่ถึงสามนาทีก็เสร็จเรียบร้อยไม่มีปัญหาอะไร ผ่านไปได้อีกแล้ว
เดินไปขึ้นเครื่องนั่งคนละที่กับเพื่อนตื่นๆ หลับๆ ในเครื่องนานที่สุดในชีวิต สุดท้ายก็มาถึงสนามบินที่ชิคาโก้เรียบร้อยแล้ว
ต่อเครื่องจากชิคาโก้ไปสนามบินนิวออลีนอีก ๒ ชั่วโมง
ระหว่างนั้นได้ตรวจพาสปอร์ตจากเจ้าหน้าที่ถามว่า จะไปไหน ตอบว่า ไปรัฐมิสซิสซิปปีวัดพุทธเมตตามหาบารมี ถามว่า มาอยู่กี่ปี อาจารย์ศรีตอบว่า สองปี
พระอาจารย์ศรีและผู้เขียน พาสปอร์ตแบบพระธรรมทูต ส่วนพระอาจารย์เอกรินทร์ ๖ เดือน พาสปอร์ตแบบนักท่องเที่ยว เขาประทับตราให้ผ่านทั้งสามรูป รีบไปเอากระเป๋าใส่รถเข็นไปโหลดลงเครื่องแล้วไปขึ้นรถต่อไปที่สนามบินต่อไป
ลงรถไปตึกที่สองแล้วไปตรวจดูไฟล์การบินอยู่นั้นได้มีฝรั่งสามีภรรยาและลูกอีกสองคนเข้าทักทายว่า สวัสดีครับ ท่านมาจากไหน… มาจากเมืองไทย.. จะไปที่ไหนเหรอครับ จะไปที่นิวออลีน และจะต่อรถไปที่รัฐมิสซิสซิปปี วัดพุทธเมตตามหาบารมี… ทำไมพูดไทยได้
ผมเคยอยู่เมืองไทยสามสิบปีแล้วครับ
ผู้ชายมีชื่อไทยว่า “คำอ้าย” และผู้ภรรยาเขาชื่อว่า “คำหล้า” ลูกชายชื่อว่าอัศวิน ลูกสาวชื่อว่า มะลิ
คุณพ่อทำงานวิจัยเรื่องภาษาท้องถิ่นไทย เขาบอกว่าภาษาท้องถิ่นไทยมีมากกว่า ๗๐ ภาษา คุณแม่เคยเป็นครูภาษาที่โรงเรียนสวนจิตลดาด้วย ลูกเรียนนานาชาติที่เมืองไทย ชอบเรียนนวดแผนโบราณ เพราะมีแรงบันดาลใจจากการได้ช่วยเหลือคนแก่และช่วยนวดบรรเทาความเจ็บให้หายเหนื่อยเบื้องต้นได้ เพราะเธอมีจิตใจดีงามเหมือนพระโพธิสัตว์ และน้องชายอยู่ม.๓ ชอบวิชาดนตรี
ฝรั่งทั้งสี่คนนี้ชอบเมืองไทย บอกว่าคนไทยใจดี เห็นคนไทยแล้วรู้สึกดีใจมากๆ มีความสุข และรักคนไทย
วันแรกที่อเมริกามีฝรั่งเป็นเจ้าภาพถวายเพลที่สนามบินได้พูดคุยกันหลายเรื่องแล้วได้ให้พรและถ่ายรูปเป็นที่ระลึกก็กล่าวคำลาจากกันโยมฝรั่งคำอ้ายได้แจกนำบัตรให้ไว้ด้วย
หลังจากนั้นก็นั่งเครื่องบินจากชิคาโก้มาลงที่สนามบินนิวออลีนอย่างปลอดภัย เช็คดูกระเป๋าปรากฏว่าล้อกระเป๋าลากมันหลุดออกจากกันก็เข้าไปเปลี่ยนกระเป๋าใหม่กับเจ้าหน้าที่รับผิดชอบหรือเคลมกระเป๋าคืนเสร็จแล้ว และโยมอุบสกชื่อว่ามานะ ได้มารับส่งถึงวัดอย่างเรียบร้อยแล้วอย่างปลอดภัยดี
“ยินดีต้อนรับสู่รัฐมิสซิสซิปปี ณ วัดพุทธเมตตามหาบารมี”
พระจ๊อดส์ ๒ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๖๒