ขอขอบคุณที่มา : https://thesender.co/2060/news/

“ปราชญ์พุทธ” ติง “เทวัญ” ชี้ พระผู้ใหญ่คดีเงินทอนวัด ยังไม่ขาดสมณะเพศ
ศาสตราจารย์(พิเศษ) จำนงค์ ทองประเสริฐ ผู้เชี่ยวชาญด้านพระพุทธศาสนา ระบุว่า ข่าวคุณเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลสำนักพุทธให้สัมภาษณ์ว่า พระชั้นผู้ใหญ่ติดคุก ปมเงินทอนวัด นั้นขาดสมณะเพศแล้ว โดยอ้างสำนักพุทธ ที่ให้เหตุผล ว่าเมื่อเข้าไปอยู่ในเรือนจำแล้วก็เท่ากับเป็นการสึกและแม้ได้รับการประกันตัวออกมาสู้คดีสมณะเพศก็ได้ขาดไปแล้ว
“ผมมีความกังวลใจ ว่ารัฐมนตรีที่กำกับดูแลศาสนาพุทธ ซึ่งเป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศไทยถ้าเข้าใจคลาดเคลื่อนจากหลักก็จะเสียหลักก็จะเกิดความเสียหายต่อพระพุทธศาสนาได้ เพราะสำนักพุทธที่คุณเทวัญอ้างนั้นก็ไม่ได้เข้าใจพระธรรมวินัยในเรื่องการสละสมณเพศกับการลาสิกขาที่ถูกต้องการ
“ลาสิกขาของพระนั้นจะถือว่าลาสิกขาโดยเสร็จสิ้นสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อพระภิกษุรูปนั้นได้กล่าวคำลาสิกขาตามที่พระธรรมวินัยบัญญัติไว้เท่านั้นต้องเป็นการกล่าวต่อหน้าผู้รู้ความเข้าใจความและรู้ภาษาความหมายในคำกล่าวนั้นและเป็นการกระทำในขณะมีสภาพจิตใจเป็นปกติไม่ได้ถูกบังคับขู่เข็ญขืนใจ ดังนี้
๑) ท่านเบื่อความเป็นพระแล้วมีจิตที่จะลาสิกขาและท่านต้องตัดสินใจด้วยตนเองว่าจะลาขาดจากความเป็นพระภิกษุ
๒) ต้องเป็นการกล่าวคำลาสิกขาตามขอบเขตที่พระวินัยกำหนดไว้และต้องเข้าใจความหมายในคำกล่าวนั้นด้วย
๓) ต้องเป็นการกล่าวคำลาสิกขาณปัจจุบันเท่านั้นจะไปอ้างเอาคำกล่าวในอดีตหรืออนาคตมาพูดไม่ได้
๔) ท่านต้องเปล่งวาจาลาสิกขาด้วยตนเองไม่ใช่ให้ตำรวจหรือใครพูดแทน
๕) พระภิกษุที่ลาสิกขาและผู้รับการลาสิกขาต้องมีสภาพจิตใจเป็นปกติเข้าใจและรู้ความหมายในคำกล่าวลาสิกขาและบุคคลทั้งสองนั้นต้องไม่มีเวทนาหรือถูกบังคับบีบคั้นขู่เข็ญคุกคามขืนใจ
๖) ต้องเป็นการกล่าวเจาะจงเฉพาะต่อหน้าและผู้อยู่ในสถานที่ลาสิกขาเข้าใจความหมายการลาสิกขาจึงจะสมบูรณ์ทันทีแต่ถ้าบุคคลเหล่านั้นฟังแล้วยังมึนงงไม่เข้าใจว่าพูดอะไรไม่ถือว่าเป็นการลาสิกขาความเป็นพระภิกษุยังคงมีอยู่
“ในประเทศไทยถือกันมาว่าการลาสิกขาจะทำต่อหน้าพระภิกษุด้วยกันเท่านั้น จะทำต่อหน้าฆราวาส เช่นตำรวจหรือบุคคลอื่นใดไม่นับว่าเป็นการลาสิกขาก่อนลาสิกขาต้องแจ้งพระอุปัชฌาย์ให้อนุญาตก่อนถ้าพระอุปัชฌาย์ไม่อยู่ก็เป็นอาจารย์ผู้ปกครองถ้ามิเช่นนั้นก็ถือว่าหนีสึกเอาผ้าจีวรไปฝากไว้ตามเจดีย์ตามต้นโพธิ์“

“ผมจึงไม่สบายใจถ้าสำนักพุทธและรัฐมนตรีที่กำกับดูแลสำนักพุทธมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนไม่เข้าใจพระธรรมวินัยอย่างถ่องแท้
“เพราะสำนักพุทธศาสนาถูกก่อตั้งขึ้นมาเพื่อทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาและปกป้องคุ้มครองให้พุทธบริษัทของพระพุทธศาสนา, ยืนหยัดอยู่คู่สังคมไทยไปอีกนาน แต่ความเข้าใจคลาดเคลื่อนของรัฐมนตรีและสำนักพุทธศาสนาอาจจะทำให้ศาสนาพุทธในประเทศไทยถึงเวลาที่จะล่มสลาย
“ผู้บริหารที่ไม่เข้าใจวัฒนธรรมไม่เข้าใจจารีตประเพณีไม่เข้าใจพระธรรมวินัยย่อมไม่สามารถบริหารราชการกำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้
“ผมรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่คนไทยประเทศไทยหาบุคคลที่มีความรู้ความสามารถมาสนองงานพระพุทธศาสนาไม่ได้”
ที่มา:https://thesender.co/2060/news/
