ขอขอบคุณ ภาพจากสื่อทุกสำนัก จากอินเทอร์เน็ต
ขอขอบคุณ ภาพจากสื่อทุกสำนัก จากอินเทอร์เน็ต
ขอขอบคุณ ภาพจากช่อง NEW18
ขอขอบคุณ ภาพจากช่อง NEW18
ขอขอบคุณภาพจากสื่อทุกสำนัก จากอินเทอร์เน็ต
ขอขอบคุณภาพจากสื่อทุกสำนัก จากอินเทอร์เน็ต
ขอขอบคุณ ภาพจาก AMARIN TV
ขอขอบคุณ ภาพจาก AMARIN TV
ขอขอบคุณ ภาพจาก ช่อง NEW 18
ขอขอบคุณ ภาพจาก ช่อง NEW 18
ขอขอบคุณ ภาพจาก BREAKING NEWS และจากสื่อทุกสำนัก จากอินเทอร์เน็ต
ขอขอบคุณ ภาพจาก BREAKING NEWS และจากสื่อทุกสำนัก จากอินเทอร์เน็ต

บทความพิเศษ ตอนที่ ๑๙ 

“ความบริสุทธิ์ของมนุษย์ สำคัญกว่าความยุติธรรม”

โดย พระใบฎีกาคทาวุธ คเวสกธมฺโม

ขอขอบคุณ ภาพจากสื่อทุกสำนัก จากอินเทอร์เน็ต
ขอขอบคุณ ภาพจากสื่อทุกสำนัก จากอินเทอร์เน็ต
ขอขอบคุณ ภาพจากสื่อทุกสำนัก จากอินเทอร์เน็ต
ขอขอบคุณ ภาพจากสื่อทุกสำนัก จากอินเทอร์เน็ต
ขอขอบคุณ ภาพจาก nation tv
ขอขอบคุณ ภาพจาก nation tv

          จากการที่ได้ศึกษาว่าด้วยเรื่อง “ความยุติธรรม” จะพบว่าปัญหาของความยุติธรรมในทุก ๆ ด้านไม่ว่าจะเป็นสังคมตะวันตก สังคมตะวันออก รวมทั้งหลักความยุติธรรมที่อยู่ในกฎหมายไทย ปัญหาล้วนมาจากตัวของมนุษย์ทั้งสิ้น เพราะมนุษย์เป็นผู้กำหนด ควบคุม หรือสมมติกฎหมายต่างๆ ขึ้นมาเอง ถ้าตัวมนุษย์ไม่มีพื้นฐานด้านการฝึกฝน พัฒนาจิตใจและปัญญาเสียแล้ว ไม่ว่ากฎหมายหรือหลักความยุติธรรมที่สมมติกันขึ้นมาจะประเสริฐขนาดไหนในที่สุดก็จะไปไม่รอด

          เพราะมนุษย์จะพยายามหาทางหลบหลีกเลี่ยงกฎหมายทุกวิถีทาง หรือไม่เคารพไม่เต็มใจที่จะปฏิบัติตาม แม้จะมีการบังคับหรือลงโทษอย่างไรก็ตาม ในที่สุดก็จะล้มเหลว เพราะตัวโครงสร้างที่มนุษย์สมมติขึ้นมานั้น จะกร่อนโทรมด้วยตัวของมันเองจนหมดประสิทธิภาพ

เช่น มนุษย์มีการสมคบกันเพื่อหลบหลีกกฎหมายในทุกระดับชั้น แม้จะมีการจัดตั้งองค์กรต่าง ๆ เพื่อมาดูแลควบคุม หรือมีโทษที่รุนแรงขึ้นก็จะสิ้นผล

และที่เห็นได้ในปัจจุบันอย่างชัดเจนคือมีการนำเอากฎหมายไปใช้ในทางที่ผิดเจตนารมณ์ เพื่อสนองความต้องการผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง  

          ทั้งนี้ ต้นเหตุของปัญหามาจากตัวของมนุษย์เพราะในตัวของมนุษย์นั้นมีความโลภ ความเห็นแก่ตัว สิ่งเหล่านี้จึงเป็นปัจจัยทำลายความยุติธรรมให้ตายไปจากสังคม ความบริสุทธิ์ของมนุษย์จึงสำคัญกว่าความยุติธรรม ถ้ามนุษย์ไม่บริสุทธิ์ ความยุติธรรมก็ไม่เกิด 

การจะทำให้มนุษย์เป็นผู้มีความบริสุทธิ์ พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ต้องประกอบไปด้วยคุณธรรม ๔ ประการ คือ หิริโอตตัปปธรรม สุกกธรรม สันติธรรม และสัปปุริสธรรม

ขอขอบคุณ ภาพจาก MONO29
ขอขอบคุณ ภาพจาก MONO29
ขอขอบคุณ ภาพจาก Nation tv
ขอขอบคุณ ภาพจาก Nation tv
สิทธิมนุษยชนพื้นฐาน ตามระบอบรัฐธรรมนูญในมาตรา ๗๑ ตอนหนึ่งว่า รัฐพึงให้ความช่วยเหลือเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้ยากไร้ และผู้ด้อยโอกาสให้สามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ และคุ้มครองมิให้บุคคลดังกล่าวถูกใช้ความรุนแรง หรือปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม รวมตลอดทั้งให้การบำบัด ฟื้นฟูและเยียวยาผู้ถูกกระทำดังกล่าว  :ขอขอบคุณ ภาพจากช่อง NEW 18
สิทธิมนุษยชนพื้นฐาน ตามระบอบรัฐธรรมนูญในมาตรา ๗๑ ตอนหนึ่งว่า รัฐพึงให้ความช่วยเหลือเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้ยากไร้ และผู้ด้อยโอกาสให้สามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ และคุ้มครองมิให้บุคคลดังกล่าวถูกใช้ความรุนแรง หรือปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม รวมตลอดทั้งให้การบำบัด ฟื้นฟูและเยียวยาผู้ถูกกระทำดังกล่าว :ขอขอบคุณ ภาพจากช่อง NEW 18

หิริโอตตัปปธรรม

อธิบายได้เป็น ๒ ประการ  หิริ หมายถึง ความละอายใจ กับการกระทำที่ไม่ดี ความชั่ว หรือความเสียหายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เช่น บุคคลใดที่มีใจรังเกียจ หรือเกลียดชังต่อการทุจริต คอร์รัปชัน คดโกง ฯ เป็นนิสัยประจำใจ ถือว่าบุคคลนั้นประกอบไปด้วยหิริอย่างแน่แท้

ส่วนคำว่า โอตตัปปะ หมายถึง ความเกรงกลัวต่อผลของการกระทำที่ไม่ดี ชั่วร้าย และทำให้เกิดความเสียหายต่างๆ

          กล่าวคือ บุคคลที่มีสติปัญญาพิจารณาได้ว่าสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตนเองเป็นผู้รับผลของกรรมที่ตนได้กระทำไว้จะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วก็ตามถือว่าเป็นบุคคลที่ประกอบไปด้วยโอตตัปปะอย่างแน่แท้  หิริโอตตัปปธรรม จึงเป็นคุณธรรมที่รักษาใจให้มั่นคงในการกระทำที่ดีงามทั้งในที่แจ้งและที่ลับ เมื่อหิริโอตตัปปะตั้งอยู่ที่ใดแล้วก็จะส่งผลให้ศีลเกิดขึ้น ณ ที่นั้นด้วยเรียกว่าสุกกธรรม

สุกกธรรม

หมายถึง ธรรมที่ขาวบริสุทธิ์ ธรรมที่ทำให้มีจิตใจที่ผ่องแผ้ว  ทำให้คนมีความประพฤติที่ขาวสะอาด

ละทุจริตคือ ทุจริตทางกาย ทุจริตทางวาจา ทุจริตทางใจ แต่ให้ตั้งมั่นในสุจริตคือ สุจริตทางกาย สุจริตทางวาจา สุจริตทางใจ เมื่อมีศีลแล้วก็จะส่งผลให้ผู้นั้นเกิดความสงบ เรียกว่าสันติธรรม

สันติธรรม

 หมายถึง ความสงบ แบ่งเป็น ๒ ประการด้วยกัน 

ความสงบภายนอก คือ ความสงบทางกาย สงบทางวาจา เช่น ไม่พูดให้เกิดความแตกแยกสามัคคี แต่ชักนำให้คนมีความสามัคคีปรองดอง

ส่วน ความสงบภายใน คือ ความสงบทางใจ เช่น ทำใจให้สงบจากความโลภ ความโกรธ ความหลง เครื่องมือที่จะทำให้เกิดความสงบได้คือ สติ ความระลึกได้ และสัมปชัญญะ ความรู้ตัว จะกระทำอะไรต้องมีสติสัมปชัญญะ

กล่าวคือ สตินึกคิดก่อนที่จะลงมือทำ ก่อนที่จะพูด หรือก่อนที่จะกระทำการใด ๆ ส่วนสัมปชัญญะรู้ตัวในเวลาที่กำลังทำ กำลังพูด เป็นต้น

ทั้งนี้เมื่อเกิดความสงบเกิดขึ้นแล้ว แต่มนุษย์ปุถุชนยังดำรงชีวิตอยู่ในสังคมยังเกี่ยวข้องอยู่กับโลกจึงต้องยึดถือและปฏิบัติตามหลักการของสัปปุริสธรรมในการดำเนินวิถีชีวิตหรือจะกระทำการใด ๆ

สัปปุริสธรรม

หมายถึงธรรมของสัตบุรุษ ประกอบไปด้วย ๗ ประการ

                    ๑. รู้จักเหตุ คือ รู้เหตุแห่งความเสื่อมและความเจริญ

          ๒. รู้จักผล คือ จะทำจะพูดจะคิดอะไรก็เป็นไปโดยมีเหตุมีผล

          ๓. รู้จักตน คือ รู้จักภาวะของตนปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะฐานะ

          ๔. รู้จักประมาณ คือ รู้จักความพอเหมาะพอดีในการประกอบกิจ

          ๕. รู้จักกาลเวลา คือ รู้จักกาลเวลาในการประกอบกิจใด ๆ

          ๖. รู้จักชุมชน คือ เข้าใจ เข้าถึง และรู้จักบริบทของสังคม         

          ๗. รู้จักบุคคล คือ รู้จักจริตอัธยาศัย และความประพฤติของบุคคล

          คุณธรรมทั้ง ๗ ประการที่กล่าวมานี้ หากอยู่กับบุคคลใดแล้วถือว่าเป็นสัตบุรุษ คือ เป็นคนดี จะทำการใดก็สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี พร้อมทั้งเป็นเครื่องเชิดชูสง่าราศีทั้งทางโลกและทางธรรมอย่างยิ่งยวด

ขอขอบคุณ ภาพจาก ช่อง Nation 22
ขอขอบคุณ ภาพจาก ช่อง Nation 22
ขอขอบคุณ ภาพจาก ช่อง SPRING NEWS
ขอขอบคุณ ภาพจาก ช่อง SPRING NEWS
ขอขอบคุณ ภาพจาก SPRING NEWS
ขอขอบคุณ ภาพจาก SPRING NEWS
ขอขอบคุณ ภาพจาก ช่อง Nation 22
ขอขอบคุณ ภาพจาก ช่อง Nation 22
ขอขอบคุณ ภาพจาก ฐานเศรษฐกิจ
ขอขอบคุณ ภาพจาก ฐานเศรษฐกิจ

อนึ่ง เมื่อบุคคลใดเป็นผู้ที่ประกอบด้วยหิริโอตตัปปะ  ตั้งมั่นในสุกกธรรม  ใฝ่สันติและมีสัปปุริสธรรม พร้อมด้วยคุณธรรมทั้ง ๔ ประการที่กล่าวมาถือว่าเป็นบุคคลที่ประเสริฐในหมู่มนุษย์ เป็นหนทางแห่งความบริสุทธิ์เป็นมนุสสเทโว มนุษย์ผู้เปรียบประดุจเหมือนเทวดา

ดังนั้นเมื่อมนุษย์มีการพัฒนาทางด้านจิตใจและปัญญา จะทำให้บุคคลนั้นมีความสามารถที่จะยับยั้ง ควบคุมพฤติกรรมของตนไปในทางที่เจริญ ถูกต้องชอบธรรม กฎหมายก็จะเป็นแค่เพียงเครื่องมือมาช่วยส่งเสริมเกื้อหนุนให้มนุษย์มีพฤติกรรมที่ถูกต้องดีงามเท่านั้น

แต่ถ้าจิตใจ และปัญญาของมนุษย์ไม่ได้รับการพัฒนา มนุษย์ก็จะไม่มีความสามารถที่จะยับยั้ง ชั่งใจ ควบคุมพฤติกรรมของตนเองให้ดีงามได้

แม้จะใช้วิธีการควบคุมเพียงแค่ภายนอก

ด้วยการตรากฎหมายมาควบคุม

มีบทลงโทษที่รุนแรง

กฎหมายก็จะไร้ค่าและเสื่อมด้วยตัวของมันเอง

ขอขอบคุณ ภาพจากสื่อทุกสำนัก จากอินเทอร์เน็ต
ขอขอบคุณ ภาพจากสื่อทุกสำนัก จากอินเทอร์เน็ต
ขอขอบคุณ ภาพจาก ช่อง ไทยรัฐ
ขอขอบคุณ ภาพจาก ช่อง ไทยรัฐ

ดังนั้นนอกจากจะบัญญัติกฎหมายเพื่อมาควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์แล้ว กฎหมายนั้นก็ควรที่จะช่วยเกื้อหนุน ส่งเสริมให้มนุษย์ได้พัฒนาทางด้านจิตใจและปัญญาควบคู่ไปด้วย เพื่อให้มนุษย์เป็นผู้มีความบริสุทธิ์อันจะทำให้ธำรงความยุติธรรมอยู่คู่กับสังคมได้อย่างมั่นคง

ที่มาของของข้อมูล : คัดลอกเนื้อหามาจาก พระคทาวุธ คเวสกธมฺโม (เพ็งที) วิทยานิพนธ์เรื่อง “เปรียบเทียบความยุติธรรมตะวันตกกับพระพุทธศาสนาเถรวาท และกฎหมายไทย” วิทยานิพนธ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรนิติศาสตรมหาบัณฑิต คณะนิติศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) ปี ๒๕๕๗

บทความพิเศษ ตอนที่ ๑๙ “ความบริสุทธิ์ของมนุษย์ สำคัญกว่าความยุติธรรม” โดย พระใบฎีกาคทาวุธ คเวสกธมฺโม

พระใบฏีกาคทาวุธ คเวสกธมฺโม ผู้เขียน
พระใบฏีกาคทาวุธ คเวสกธมฺโม ผู้เขียน
ขอขอบคุณ ภาพจาก ช่อง ONE 31
ขอขอบคุณ ภาพจาก ช่อง ONE 31
ขอขอบคุณ ภาพจาก PPTV
ขอขอบคุณ ภาพจาก PPTV
ขอขอบคุณ ภาพจาก dailynews.co.th
ขอขอบคุณ ภาพจาก dailynews.co.th
ขอขอบคุณ ภาพจาก ช่อง Nation 22
ขอขอบคุณ ภาพจาก ช่อง Nation 22
ขอขอบคุณ ภาพจากไทยโพสต์และจากสื่อทุกสำนัก ภาพจากอินเทอร์เน็ต
ขอขอบคุณ ภาพจากไทยโพสต์และจากสื่อทุกสำนัก ภาพจากอินเทอร์เน็ต

ขอขอบคุณ ภาพจากสื่อทุกสำนัก จากอินเทอร์เน็ต

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here