“ใครไม่เคยพบกับการพลาด และการรอคอยที่ไม่มีกำหนด ด้วยจิตที่เป็นปกติ…โปรดอ่าน แล้วท่านจะได้พลังและกำลังใจในขณเะที่อยู่กับความผิดหวัง ไม่ได้ดั่งใจ ด้วยจิตที่ยิ้มๆ “
ท่องเที่ยวโลกกะธรรม
โดย พระมหาขวัญชัย กิตฺติเมธี
ตอน ๑ หลง,พลาด หรือคลาดเคลื่อน
Story in Delhi airport
การเดินทางครั้งนี้เรามุ่งตรงสู่ leh Ladakh สูงกว่าระดับน้ำทะเลหมื่นกว่า feet ความสูงระดับนี้ทำให้อากาศเบาบาง ต้องระวังอาการข้างเคียง เช่น หน้ามืด ตาลาย นอนไม่หลับ เป็นต้น การปรับตัวง่ายๆ ก็แค่นอนพักให้ร่างกายปรับตัวอย่างน้อยสัก 24 ชม. แต่เราไม่มีเวลาพอสัก 5 ชม.ก็คงพอสำหรับนักเดินทางที่เร่งรีบอย่างเรา
…
แต่คำว่า “เร่งรีบ” อาจใช้กับที่นี่ไม่ได้ ไม่ว่าจะอยากใช้หรือไม่ เพราะเมื่อวานทำให้รู้ถึงความรู้สึกนี้ดี ที่จริงเราต้องเดินทางมาที่ leh Ladakh ตั้งแต่วันที่ 13 กรกฎาคม 25ุ58 คือเมื่อวาน แต่สายการบินแจ้งว่าอากาศทางนี้ไม่ดี ฝนตกหนัก เครื่องขึ้นไม่ได้ เราจึงได้มาวันที่14 แทน…
…
เรื่องคือว่า เรามารอต่อเครื่อง ที่สนามบินเดลี โดยบินมาจากปูเน่เพื่อต่อเครื่องไป leh Ladakh เรามาถึงประมาณตีหนึ่งรอขึ้นเครื่องประมาณหกโมงเช้า แต่เครื่องดีเลย์เลื่อนมาเรื่อยๆ จนถึงเก้าโมง ทางสายการบินแจ้งว่าอากาศไม่ดี แต่เราเห็นว่าอีกสายการบินไปได้ ทำให้อารมณ์ของผู้โดยสารเริ่มคลุกรุ่น ทั้งเหนื่อย และง่วง บรรยากาศจึงไม่ดีนัก เสียงฝรั่งหลายคนต่อว่าเจ้าหน้าที่สายการบิน จนกลายเป็นม๊อบๆ เล็กระหว่างผู้โดยสารกับเจ้าหน้าที่…
…
แต่เราเลี่ยงออกมาดูสถานการณ์อยู่ห่างๆ พยายามหาเหตุผลดีๆ มาปลอบใจตัวเองว่าถ้าไปแล้วไม่ปลอดภัยก็อย่าเสี่ยงดีกว่า ส่วนนักชะตานิยมก็เชื่อว่าเขาอาจไม่ให้เราไป แต่ถูกกลุ่มกรรมนิยมเชื่อว่าไม่ใช่เขาหรอกไม่ให้ไป เราต่างหากไม่ไปเอง ถ้าตัดสินใจกลับหรือไม่ไปต่อ ก็อย่างคำสอนของท่าน bhikkhu sanghasena เจ้าอาวาสวัด mahabodhi ที่เราได้ไปพักที่ leh ท่านกล่าวถึง the pathless path คือ หนทางนั้นไม่มี มีเพียงเราต้องสร้างทางด้วยตนเอง.
…
เจ้าหน้าที่ (jet airway) แก้ปัญหาด้วยการพาเราไปรับอาหารเช้าให้เราอารมณ์ดีขึ้น ก่อนจะพาเราไปประตูของ air India ทุกคนมีใบหน้าเต็มไปด้วยความหวัง เพราะมีบางคนพูดกันว่าอาจจะได้ไปต่อกับ air India แต่หวังนั้นก็จบลงเมื่อเขาพาเราเดินผ่านไป และตรงไปรับกระเป๋าเป็นอันหมายรู้ว่าเราอาจไม่ได้ไปแน่…
…
พอรับกระเป๋าเสร็จ ผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นฝรั่งเดินไปออที่ป้าย jet airway เต็มไปหมด เสียงเริ่มดังขึ้นจากการต่อรอง ก่อนทุกคนจะทะยอยเดินออกมาหลังจากเจ้าหน้าที่บอกว่าให้รอรับข่าวจากเจ้าหน้าที่ประมาณบ่าย3โมง (ตอนนั้นประมาณ11โมงเช้า) เหลือคณะเรานั่งรอกับฝรั่งไม่กี่คน…
…
สำหรับเราตอนนั้นต้องรออย่างเดียว ไม่มีใครคิดว่าจะมาเจอแบบนี้ ปัญหาตอนนี้ไม่ใช่แค่ง่วงและหงุดหงิดอีกต่อไป แต่เป็นว่า เราจะหาอะไรมารองท้อง โดยเราออกนอกสนามบินไม่ได้ เพราะตั๋วโดนยกเลิกก่อนหน้านี้แล้ว. นึกถึงทอม แฮงค์ในภาพยนตร์เรื่อง the terminal ที่ต้องอาศัยในสนามบินไปไหนไม่ได้ขึ้นมาทันที สงสัยงานนี้มีอาบน้ำและนอนในสนามบินแน่ๆ แต่เรื่องนั้นเอาไว้ห่วงทีหลังดีกว่า ตอนนี้มาห่วงเรื่องอาหารก่อน
…
เราพยายามนำอาหารที่มีในกระเป๋ามาแบ่งกัน บางคนพยายามเดินไปรอบๆ ก็เห็นร้านอาหารของขบเคี้ยวเล็กที่มีขนมเคี้ยวเล่นที่บางห่อก็มีรอยหนูแทะ และสภาพซองที่วางมานานจนฝุ่นจับจนไม่มีใครกล้าเสี่ยง เรามาจบลงที่ตู้แช่มีขนมคบเคี้ยวพออิ่มท้อง
…
โยมพยายามต่อรองเจ้าหน้าที่สนามบิน โดยอ้างว่าพระต้องฉันอาหาร เขาเลยอนุญาตให้เวลา 5นาทีในการออกไปซื้ออาหารข้างนอก และคงเป็น5นาทีในชีวิตที่ทำให้เรากลับมารู้สึกดีอีกนิดท่ามกลางเรื่องแย่ๆ มากมาย
…
แต่ปัญหาก็ยังไม่จบ คือถ้าถึงเวลาบ่ายสามโมงแล้งเราไม่ได้บินจะทำอย่างไร. หรือถ้าได้บินพรุ่งนี้ หรือหนักกว่านั้นอีกวันสองวันละ จะไปพักที่ไหน. เพราะเจ้าหน้าที่ไม่มีอะไรยืนยันทั้งสิ้น ด้วยความเหนื่อยไม่ได้พักทั้งคืนจึงมีเสียงว่าจะหาเครื่องกลับเมืองไทยกันดีไหม? แต่บางคนยังแอบหวังลึกๆ ว่าอาจได้ไป
…
แต่ขณะที่ทุกคนดูวุ่นวายใจ ภิกษุณีที่เป็นไกด์พาเรามาครั้งนี้กลับดูสงบนิ่ง. เหมือนนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจอ เพราะเธอเป็นคนที่นี่คงเคยผ่านเรื่องนี้มาหลายครั้ง ผิดกับเราที่เป็นครั้งแรกที่เจอ
…
ช่วงรอผ่านไปพร้อมกับผู้คนที่เดินผ่านไปมาไม่ขาด ภาพคนตกเครื่อง ไร้ที่ไป ต้องเอาหัววางบนกระเป๋าแล้วหลับบนเก้าอี้ ทำให้เราเข้าใจหัวอกคนเหล่านี้มากขึ้น
…
เรารอจนมีฝรั่งตกเครื่องเช่นกันบอกว่าเขาได้รับข้อความที่ได้รับจาก jet airway ให้มาขึ้นเครื่องตอน9โมงเช้า เราจึงเอาข้อมูลนี้ไปถามเจ้าหน้าที่ก็ยืนยันอย่างเดียวกัน
…
รอดแล้ว ได้ไปเสียที… แต่บางคนกลับเริ่มไม่แน่ใจว่าจะเป็นอย่างนั้น แต่ก็เข้าใจอินเดียมากขึ้น. เพราะอะไรก็เป็นไปได้เสมอในอินเดียแห่งนี้…