จาริกบ้านจารึกธรรม
ครูแห่งสันติที่สอนด้วยชีวิต
พระครูประโชติรัตนานุรักษ์ที่ข้าพเจ้ารู้จัก (๕)
โดย
พระมหาอภิชาติ ธมฺมาภินนฺโท
วัดทองนพคุณ คลองสาน กรุงเทพฯ
นับตั้งแต่วันมรณภาพของพระครูประโชติรัตนานุรักษ์ อดีตเจ้าอาวาสวัดรัตนานุภาพ อดีตเจ้าคณะอำเภอสุไหงปาดี และอดีตประธานเครือข่ายพระธรรมทูตอาสาจังหวัดนราธิวาส ครบ ๕๐ วันเมื่อไม่นานมานี้ คณะสงฆ์จังหวัดนราธิวาส นำโดยพระเทพศีลวิสุทธิ์ เจ้าคณะจังหวัดนราธิวาส พร้อมทั้งญาติโยมที่เคารพนับถือในตัวท่าน ได้ร่วมกันทำบุญ “ปัญญาสมวาร” คือการทำบุญครบรอบ ๕๐ วันอุทิศถวายท่าน เป็นการแสดงออกถึงความกตัญญูกตเวทีที่มีต่อท่าน
เพื่อเป็นการระลึกถึงความดี และสืบต่อปณิธานของท่านในมุมที่คนหลากหลายได้สัมผัส ได้กล่าวถึงท่าน อีกบทบาทหนึ่งที่มีความโดดเด่นนั่นก็คือ พระนักสันติวิธี ผู้เจริญรอยตามพระอุปัชฌาย์ คือ พระเทพศีลวิสุทธิ์ เจ้าคณะจังหวัดนราธิวาส หรือที่ชาวบ้านเรียกด้วยความเคารพว่า พ่อท่านอ่อน มีบทบาทในการสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างไทยพุทธ-มุสลิมในพื้นที่ รวมถึงชาวมาเลเซียให้อยู่ร่วมกัน แม้มีความแตกต่างในเรื่องศาสนา วัฒนธรรมและความเชื่อ จนได้รับการยอมรับเป็นอย่างสูง ถักทอความสมัครสมานสามัคคีระหว่างชาวไทยพุทธและชาวไทยมุสลิม ดังนามที่สาธุชนถวายท่านว่า “พระผู้เป็นกาวใจพุทธ-มุสลิมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้”
พระครูประโชติฯ ถือว่าเป็นพระนักสันติวิธี บทบาทของท่านในความเป็นพระนักศาสนสัมพันธ์ เครือข่ายเยาวชนรักษ์ป่าบูโด ปรารภถึงท่านอย่างอาลัยว่า ท่านพูดมลายูได้เพราะเป็นเด็กในหมู่บ้านอิสลาม ท่านโตกับเพื่อนมุสลิม และท่านมักไปเยี่ยมและช่วยเหลือเพื่อนมุสลิม ท่านมีครูมุสลิม ท่านก็จะถืออินทผลัมไปฝากครูมุสลิมเป็นประจำ ท่านทำงานเยาวชนให้กับเด็กมุสลิม ท่านก็จะเลี้ยงไอติมให้กับเด็กมุสลิมในค่ายทุกครั้ง ท่านจบจากโรงเรียนบ้านเจ๊ะเด็ง มีแต่เด็กมุสลิม และท่านก็ไปเลี้ยงข้าวหมกให้กับเด็กมุสลิมในโรงเรียนเดิมของท่าน
“ท่านมีเพื่อนชื่่อมะ ที่เป็นมุสลิมซึ่งชอบดูนก และอนุรักษ์สัตว์ต่างๆ ท่านก็จะเรียนรู้การดูนกกับมะ และค้นคว้าเรื่องสัตว์อื่นๆ เพื่อช่วยเหลือสัตว์ที่มีคนเอาไปทิ้งที่วัด ท่านทำอะไรมากมายที่หน้าที่ “มนุษยชาติ” คนหนึ่งที่ทำดีเพื่อประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ ไม่เลือกชนชั้น วรรณะ ศาสนา”
อาจารย์ ดร.พัทธ์ธีรา นาคอุไรรัตน์ ในนามของกลุ่มถักทอสันติภาพ และผู้ทำงานโครงการศาสนสัมพันธ์ ที่ได้ลงไปทำงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้บ่อยๆ ได้เล่าถึงท่านว่า พระครูประโชติฯ ที่ข้าพเจ้าเรียกท่านแบบนี้มาหลายปี ด้วยข้าพเจ้าเป็นคาทอลิกที่ไปทำงานกับพระภิกษุสงฆ์ อันเป็นงานที่ข้ามวัฒนธรรมความเชื่อที่ข้าพเจ้าไม่ใคร่คุ้นเคยมาก่อน และไม่รู้จะทำตัวอย่างไร จะสนทนาอย่างไร จะเรียกพระอย่างไร แต่ก็กราบเรียนท่านไปตรง ๆ ตั้งแต่แรก
“ท่านก็เมตตาแนะนำว่า โยมอาจารย์ทำตัวตามสบาย เรียกง่าย ๆ ไม่ต้องพิธีรีตอง เอาเป็นว่าให้เราคุยกันรู้เรื่องเป็นพอ แล้วท่านก็ยิ้ม ท่านเป็นผู้ที่ยิ้มแย้มเสมอ ใบหน้าท่านเปื้อนยิ้มเปี่ยมเมตตาเสมอมา ไม่ว่าจะกี่ครั้งที่ไปหาท่าน โทรศัพท์ไปหาน้ำเสียงปลายสายก็สัมผัสได้ถึงความเมตตาและรอยยิ้ม”
อาจารย์ ดร.พัทธ์ธีรา เล่าต่อมาอีกว่า ท่านพระครูเป็นพระผู้มีเมตตาสูงส่ง มีความมุ่งมั่นในสันติและปรารถนาจะเห็นการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสงบสุขของมนุษย์ร่วมชุมชนสังคมมาตลอด ระยะเวลาหลายปีที่ข้าพเจ้ารู้จักท่าน ท่านเป็นผู้สุภาพถ่อมตนเสมอมา ท่านไม่เคยเรียกตนว่าอย่างอื่น
“แม้ว่าในระยะต่อมาท่านจะมีตำแหน่งที่สูงขึ้นในทางบริหารก็ตาม ท่านพึงใจให้เรียกท่านอย่างเป็นกันเองว่า ‘หลวงพี่’ และแทนตนเองว่า ‘อาตมา’ บ้าง ‘หลวงพี่’ บ้าง ทำให้ข้าพเจ้าที่เป็นผู้แปลกหน้าทางวัฒนธรรมความเชื่อ อุ่นใจและรับรู้ได้ถึงความเมตตาของท่าน จึงรู้สึกสบายใจที่ได้ทำงานกับท่านในโครงการศาสนสัมพันธ์ และในนามของกลุ่มถักทอสันติภาพ
“เมื่อยามที่มีปัญหาข้อติดขัดในการทำงานในพื้นที่ซึ่งเป็นงานหลักของข้าพเจ้า ท่านพระครูเป็นพระที่ข้าพเจ้าสะดวกใจที่จะโทรหาขอคำแนะนำจากท่านบ่อยครั้ง ส่งข้อความทางไลน์ไปขอความเมตตาจากท่านคราใด ท่านช่วยแนะนำหลักในการทำงาน คลี่คลายและชี้ทางสว่างให้ทุกครั้งสมชื่อ ‘สว่าง’ ของท่านเสมอมา หลัง ๆ มานี้ ข้าพเจ้าจึงเรียกท่านได้อย่างสนิทใจว่า “ท่านพระครูสว่าง”
ครึ่งหลังของปี พ.ศ. ๒๕๖๑ อาจารย์ ดร.พัทธ์ธีรา รำลึกความทรงจำต่อมาว่า ข้าพเจ้าต้องรบกวนท่านบ่อยครั้งขึ้น เพื่อทำงานสานสัมพันธ์ระหว่างผู้นำศาสนาในชายแดนใต้ ‘ท่านสว่าง’ คือพระที่เป็นแกนนำหลักในนราธิวาสที่ท่านเจ้าคุณเจ้าคณะจังหวัดนราธิวาสบอกว่า “ให้ไปหาท่านหว่าง” หรือ “ให้ท่านหว่างไปถูกต้องที่สุดแล้ว” เพราะท่านอยู่กับมุสลิม พูดนายูได้ เป็นคนพื้นที่
ใช่! “ท่านพระครูสว่าง” เป็นพระที่ทำงานกับมุสลิม ท่านเล่าให้ฟังว่าเด็ก ๆ เกิดมาก็อยู่กับเพื่อนที่เป็นมุสลิม พูดนายูได้ กินข้าว เที่ยงเล่น ไปยิงนกด้วยกัน โตมารู้ว่าไปฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นบาปก็เลิก แล้วก็มาบวช เพื่อนมุสลิมก็ยังเป็นเพื่อนกันอยู่
“เดือนธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑ข้าพเจ้ากราบนิมนต์ท่านมากรุงเทพฯ ร่วมกับคณะสงฆ์และฆราวาสที่เป็นสมาชิกกลุ่มถักทอสันติภาพ ด้วยเป็นงานที่ทำด้วยกันมาหลายปี และจะปิดปี ๒๕๖๑ ด้วยการมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ที่กรุงเทพฯ และชานเมืองบ้าง ท่านก็ลงปฏิทินให้ก่อนใครและแนะนำให้ไปกราบนิมนต์พระรูปอื่น ๆ ที่ท่านเห็นว่าน่าจะชวนมาช่วยกันทำงานเพื่อสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นในชายแดนใต้ด้วยกัน
“ท่านพระครูสว่างบอกว่า ต้องส่งเสริมพระรูปใหม่ ๆ ขึ้นมาช่วยทำงานให้มาก โยมรุ่งลองโทรไปหาท่านนี้ ท่านนั้น ท่านโน้นดูนะ บอกว่าหลวงพี่แนะนำให้โทรมา เสียงเปี่ยมเมตตาเปื้อนยิ้มของท่านยังก้องหูและยังชัดเจนอยู่ ณ บัดนี้
“วันที่ ๑๘ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๒ อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันที่ ๒๕ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๒ ซึ่งเราจะต้องไปพบปะเพื่อประชุมวางแผนงานสำหรับการทำงานในปี พ.ศ. ๒๕๖๒ ท่านพระครูสว่างเป็นพระแกนนำที่จะทำงานศาสนสัมพันธ์ผู้นำศาสนาพุทธ-มุสลิมสู่สุขภาวะในจังหวัดนราธิวาส แต่มีคนที่ไม่เหลือความเป็นคนได้กระทำการละเมิดชีวิตอันศักดิ์สิทธิและน่าเคารพยกย่องของท่านพระครูสว่างและพระลูกวัด รับโทรศัพท์หลายสายทั้งจากพระและโยมในช่วงเวลา ๒ ทุ่มครึ่ง ข้าพเจ้าเหมือนถูกหมัดชกตรงหน้ารัวๆ เข่าทรุด และร้องไห้ไม่อายใคร”
และวันนี้ ๑๙ มกราคม ๒๕๖๒ ท่านเล่าด้วยเสียงที่ผ่านความกระเทือนใจอย่างรุนแรง
“น้ำตายังไม่หยุดไหล จริยวัตรที่งดงาม สงบเย็นยังติดตรึงตรา วันที่ท่านทำงานจนเป็นลมเมื่อปีก่อนยังจดจำได้ดี ร่างบางๆ แต่หัวใจและปณิธานที่ยิ่งใหญ่มุ่งมั่นจะจารึกไว้ในความทรงจำตลอดไป ครูแห่งสันติที่สอนด้วยชีวิต พระผู้ทรงศีลเคร่งครัดงดงาม กราบท่านด้วยหัวใจและความเคารพอาลัยอย่างที่สุดจะพรรณนา กราบส่งท่านสู่สวรรค์ชั้นภพภูมิแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าสถิตอยู่ดังที่ท่านปวารนาติดตามมาจนลมหายใจสุดท้าย”
พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส หลักสูตรสันติศึกษา มหาจุฬาฯ เล่าถึงท่านว่า การที่ผู้ก่อการร้ายสังหารพระครูประโชติรัตนานุรักษ์ อดีตเจ้าอาวาสวัดรัตนานุภาพ และอดีตเจ้าคณะอำเภอสุไหงปาดีอย่างโหดเหี้ยมโดยใช้อาวุธสงครามกราดยิงสังหารนั้น นับเป็นการ “ฆาตกรรมสันติภาพ” ให้ดิ้นตายลงไปพร้อมๆ กับร่างของพระครูฯ ที่ทรุดลงไปกองกับผืนดินหลังจากการดับลงของเสียงปืน
. “พระครูฯ เป็นสัญลักษณ์ของนกพิราบ ที่โบยบินนำเมล็ดพันธุ์แห่งสันติภาพไปโปรยปรายและบ่มเพาะจิตใจของชุมชนที่เป็นพี่น้องชาวมุสลิม และชาวพุทธในสามจังหวัดชายแดนใต้มาอย่างต่อเนื่อง สิ่งหนึ่งที่สะท้อนพื้นฐานของท่านพระครูฯ ที่มุ่งมั่นทำงานด้านนี้ คือ การจบหลักสูตร ๔ ส ใต้ ๒ หรือหลักสูตรเสริมสร้างสังคมสันติสุข ซึ่งสถาบันพระปกเกล้า โดยพลเอกเอกชัย ศรีวิลาส ผู้อำนวยการสำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล ได้จัดขึ้นในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือเชื่อมสมานและทำงานร่วมกันของพี่น้องไทยพุทธและมุสลิม”
การสังหารพระนักสันติภาพวัย ๔๙ ปี ผู้ได้รับการฟูมฟักและกล่อมเกลาวิธีคิดและทักษะการทำงานด้านสันติภาพ ในช่วงวัยที่กำลังมุ่งมั่นทำงานด้านสันติภาพอย่างเป็นจริงเป็นจัง ย่อมเป็นการสังหารนกพิราบให้จบชีวิตลงอย่างเงียบงัน และนั่นคือการฆาตกรรมสันติภาพที่กำลังเบ่งบานและเติบโตให้เหี่ยวเฉาและมอดม้วยลงไปในเวลาเดียวกัน
นับจากนี้ ชุมชนในพื้นที่ชายแดนใต้จะไม่มีโอกาสได้สัมผัสร้อยยิ้ม และน้ำเสียงแห่งการเชื่อมสมานใจระหว่างพี่น้องไทยพุทธกับมุสลิมจากท่านพระครูฯ อีกแล้ว ร่างที่ไร้จิตวิญญาณอาบเลือดนอนแน่นิ่งอยู่ในโลงคือสิ่งสะท้อนของสภาวะแห่งสันติภาพที่กำลังเดินทางอยู่อย่างต่อเนื่องต้องพลอยหยุดนิ่ง ลมหายใจของพระครูฯ ที่หยุดนิ่ง คือ ลมหายใจแห่งสันติภาพที่หยุดนิ่ง
การฆาตกรรมสันติภาพในครั้งนี้ มิได้ทำให้เกิดความโศกเศร้าแก่พี่น้องไทยพุทธและมุสลิมในสามจังหวัดชายแดนใต้เท่านั้น หากแต่โลกนี้ได้สูญเสียพระนักสันติภาพที่อุทิศชีวิตทำงานรับใช้เพื่อนมนุษย์ เฉกเช่นเดียวกับที่โลกเคยสูญเสียมหาตมะ คานธี และมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ จากอาวุธปืนที่ผู้ก่อการกระหน่ำยิงด้วยจิตใจที่คับแคบและมืดบอด
อย่างไรก็ตาม ท่านพระครูฯ ได้ก่อร่างสร้าง “อนุสาวรีย์แห่งสันติภาพ” ให้โลกนี้ได้จดจำ แม้จะเป็นอนุสาวรีย์ที่เปื้อนและฉาบทาเลือดผ่านกระบอกปืนที่ผู้ก่อการร้ายหยิบยื่นให้ แต่อนุสาวรีย์แห่งนี้ จะทำหน้าที่คอยเตือนใจมิให้คนทำงานด้านสันติภาพสิ้นหวังและหมดแรงบันดาลใจ
นักสันติภาพตายหนึ่ง จะทำให้นักสันติภาพเป็นหมื่นแสนตื่นขึ้นมาทำงานรับใช้มนุษย์และสังคม ทั้งในระดับชุมชนไปจนถึงระดับประเทศ เลือดที่อาบจีวรและผืนดินจะทำหน้าที่สูบฉีดให้นักสันติภาพอุทิศชีวิตเลือดเนื้อมุ่งมั่นทำงานรับใช้เพื่อนมนุษย์โดยมีพระครูประโชติรัตนานุรักษ์เป็นแบบอย่างที่ทรงพลังต่อไป
ดังคำพูดของท่านที่ว่า “ไม่ตาย! ไม่ขอเลิกทำความดี”
.