
ครอบครัววันนี้
โดย พระพิทยา ฐานิสสโร
พี่สาววัย ๙๐ ปี นั่งรับประทานอาหารร่วมกับน้องๆ ทั้งสี่คน ที่อยู่ในวัยไล่เลี่ยกัน จากพี่น้องทั้งหมด ๙ คนเหลือเพียงห้าคนที่ยังมีชีวิตอยู่ เป็นการยากที่จะหาโอกาสให้พี่น้องที่เหลือครบทั้งห้าคนมารวมตัวกัน ดังนั้นช่วงเวลาสั้นๆ ที่ได้พูดคุยสนทนาจึงเป็นช่วงเวลาที่หล่อเลี้ยงความสุข ความเป็นห่วงเป็นใยของกันและกันในความเป็นพี่น้อง โดยเฉพาะกับพี่สาวคนโต

ช่วงเวลาที่พระมีโอกาสกลับมาเมืองไทยในแต่ละครั้ง ก็จะหาโอกาสมาพำนักที่บ้านโยมน้าประมาณ ๑ อาทิตย์เป็นอย่างน้อย เพื่อจะได้นำญาติพี่น้อง สวดมนต์ ฟังธรรม นั่งสมาธิ ทุกเช้า เย็นของทุกวันในช่วงที่ไปพักอยู่ที่นั่น
โยมป้าวัย ๙๐ พี่สาวของโยมแม่แม้จะเดินลำบากต้องใช้ไม้เท้าสี่ขาพยุงร่างกายก็จะมาร่วมฟังบทสวดมนต์ สนทนา รับประทานอาหารร่วมกันหลังจากที่พระฉันเสร็จเรียบร้อย

สังคมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วจากหลากหลายเหตุปัจจัย ทำให้เกิดเป็นสังคมเชิงเดี่ยวมีความเป็นปัจเจกมากยิ่งขึ้น ความสัมพันธ์ใกล้ชิดของสมาชิกในครอบครัวลดน้อยมากอย่างน่าเป็นห่วง เนื่องจากแทบไม่มีโอกาสได้ทำกิจกรรมร่วมกันในแต่ละวัน ทำให้เมื่อมีเวลาหรือมีโอกาสอยู่ด้วยกัน จึงไม่รู้จะพูดคุยหรือสนทนาเรื่องอะไร สาเหตุหลักส่วนหนึ่งมาจากทุกชีวิตต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจทำงานอย่างหนักแทบไม่มีเวลาได้พัก ไม่มีเวลาให้ครอบครัว อีกทั้งมีการแข่งขันกันสูงมากในหลายๆ ด้าน ความกดดัน ความเครียด มีสูง รวมทั้งความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ทันสมัยสามารถอยู่ได้คนเดียวกับโทรศัพท์มือถือ คนส่วนใหญ่เกือบทุกวัยเสพติดเครื่องมือสื่อสาร โดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือ มีโลกส่วนตัวสูง เอาความคิดตนเองเป็นใหญ่ การทำงานร่วมกับผู้อื่นเป็นเรื่องไม่ง่ายอีกต่อไป
จากอดีตที่เราเคยเรียนรู้ชีวิตจากการอยู่ร่วมกับผู้ใหญ่ ที่มีประสบการณ์ก่อน ที่เป็นแบบอย่าง ตั้งใจสอนด้วยความอดทนมีเมตตา และลงมือทำด้วยตนเอง ทำให้เกิดความเข้าใจอย่างถูกต้องแท้จริง ถึงแม้อาจมีความผิดพลาดบ่อยๆ แต่ก็ฝึกที่จะยอมรับความผิดพลาดนั้น มีความอดทน ไม่ด่วนใจร้อนที่จะตัดสินอะไรที่ได้ยิน ได้ประสบพบเจอในทันที รู้จักยับยั้งชั่งใจและไตร่ตรองใคร่ครวญ ประสบการณ์หลายอย่างกว่าสำเร็จหรือสิ่งของกว่าจะหาได้มาต้องใช้เวลาจนสร้างความอดทน รอได้แบบไม่เดือดร้อนใจโดยไม่รู้ตัว ความเห็นอกเห็นใจ มีน้ำใจมีให้เห็นอยู่ทั่วไป ในทุกบทบาททุกหน้าที่ในสังคม

การศึกษาในอดีตที่อยู่กับวัด เป็นบวร ส่งเสริมการเข้าใจกระบวนการชีวิตมาจากการลงมือทำเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับสิ่งและบุคคลรอบด้าน มีพระเป็นผู้นำชุมชน เป็นที่ปรึกษาในการใช้ชีวิตและการทำงานจึงสามารถเข้าใจความเชื่อมโยงสัมพันธ์ในทุกสรรพสิ่งได้อย่างไม่ยาก ส่งผลให้จิตใจรู้คุณค่า กตัญญูกตเวทีต่อสิ่งหรือบุคคลที่เกื้อกูล สนับสนุนให้ประสบความสำเร็จในชีวิตตามกำลังความสามารถ อีกทั้งช่วยให้จิตใจอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่หลง หยิ่ง ทะนงตน ในความสำเร็จนั้น ทำให้มีความสุขในการทำหน้าที่ และมีความสุขในการดำเนินชีวิต เพราะในความสุขของเราจะเกิดจากการมีส่วนร่วมจากความสุขของบุคคลอื่นด้วยเสมอ จิตใจที่แบ่งปัน อยากช่วยเหลืออย่างไร้เงื่อนไขสามารถสร้างคุณค่าที่ยิ่งใหญ่ของการมีชีวิต
การมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัวส่งผลต่อการอยู่ร่วมกันอย่างเป็นปรกติสุขในสังคม รากของปัญหาที่เกิดขึ้นในทุกสังคมโลกมาจากความเห็นผิดในเป้าหมายของการมีชีวิต
แทนที่จะทำหน้าที่เพื่อช่วยลดความเห็นผิดในความยึดมั่น ถือมั่นในสิ่งเรียนรู้เพื่อความเบาเป็นอิสระของจิตใจ แต่กลับกระทำในทางตรงกันข้าม จนเป็นเหตุให้ขาดความเคารพ ซื่อสัตย์ในบทบาทหน้าที่ เบียดเบียนตนเองและผู้อื่นด้วยความไม่รู้ ไม่มีสติ สัมปชัญญะ ความสุขเบิกบานในการทำหน้าที่ ทำไปตามบทบาทสมมติแต่ขาดความตระหนักรู้ ทำให้การทำทุกหน้าที่ ได้รับประโยชน์น้อย แต่เหนื่อยมาก เพราะยิ่งทำยิ่งยึดทั้งในด้านดีและไม่ดี แม้จะทำเสร็จแต่จิตใจยากที่จะปล่อยวาง เมื่อจิตใจขาดความสุขสงบในการกระทำในทุกหน้าที่ จิตใจก็มุ่งเน้นไปทางแสวงหาความสุขเทียมทางประสาทสัมผัสที่ยิ่งเติมยิ่งพร่องเพิ่มความเหนื่อย ความทุกข์อีกด้าน ทำให้หลายชีวิตกลบความทุกข์ด้วยการหลบซ่อนตัวเองในโลกสมมติจากการพึ่งยากล่อมประสาท ยาเสพติด อยู่กับโทรศัพท์มือถือ เพื่อดับความเหงา ความโดดเดี่ยวในทางทีผิดแบบไม่รู้ ไม่สามารถเผชิญโลกแห่งความจริงอย่างที่เป็นอยู่ และไม่อยากมีปฏิสัมพันธ์กับใครๆ แม้แต่คนในครอบครัว
การได้ใช้เวลาร่วมกัน ทำกิจกรรมด้วยกันของสมาชิกในครอบครัว โดยเฉพาะกิจกรรมที่จะนำพาเขาเหล่านั้นสัมผัสความสงบสุขในตนเองเป็นสิ่งที่มีค่าและจำเป็นมาก ที่สำคัญต้องเริ่มจากตัวเรา และทำด้วยความไม่คาดหวัง ซึ่งอาจไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนในครอบครัว รวมทั้งกระแสของสังคมที่พร้อมกระชากจิตใจให้ออกไปรับรู้เรื่องราวไม่ดีมากมายจากเครื่องมือสื่อสาร
“ความเข้าใจ” จึงเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะสามารถส่งผ่านความรัก ความเมตตาให้บุคคลที่ไม่สามารถอยู่ได้ด้วยตัวเองโดยไม่เสพสิ่งใดๆ แม้ความอยากดูความเคลื่อนไหวต่างๆ จากโทรศัพท์ แต่การไม่ตำหนิ ติเตียน ดูถูก ดูแคลน นิ่งสงบด้วยความอดทน เป็นกำลังใจแม้เขาเหล่านั้นยังกระทำสิ่งไม่น่ารัก การกระทำเช่นนี้จะช่วยบรรเทาความเหงา ความโดดเดี่ยวในตัวเขาและไม่นำความเห็น ความหวังดีของเราไปคาดหวังเพื่อการเปลี่ยนแปลงจากเขา
วินาทีถัดไปไม่เคยมีจริง สิ่งใดที่สามารถกระทำ แสดงความรัก ความเกื้อกูล ความเมตตาหรือแม้แต่การอภัยต่อกันเป็นสิ่งที่ควรกระทำ โดยไม่ต้องรอ เพราะไม่เช่นนั้น เราทั้งหมดอาจหมดโอกาส เมื่อเราไม่หยิบฉวยโอกาสที่มีอยู่ในวินาทีนี้ อย่าให้ความเห็นผิดจากความยึดมั่น ถือมั่นว่า ฉันดี ฉันถูก ฉันเก่ง ฉันยุ่ง ฉันไม่สน มาทำลายความสัมพันธ์ที่ดีงามในครอบครัว
แม้เราแต่ละคนในครอบครัวอาจมีความเห็นต่างกันมากมาย แต่มิได้หมายความว่า เราต้องโกรธ ต้องเกลียดชังกัน เพราะความยึดมั่น ถือมั่นในความเห็นตน อย่าให้สิ่งของ ทรัพย์ภายนอกมาทำลายมิตรภาพความเป็นพี่เป็นน้อง ทำลายจิตใจที่งดงามในตัวเอง เพราะถ้าวันนี้หมดลมหายใจ สิ่งที่ยึดติดในทางไม่ดียังคงอยู่ติดตามเราไป แต่ทรัพย์ที่สมมติทั้งหมดคงอยู่คู่กับโลกใบนี้
สิ่งที่น่าเสียดายที่สุด คือ เราไม่ได้ใช้โอกาสในความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ในฐานะครอบครัว มาพัฒนาจิตวิญญาณให้เป็นอิสระ ด้วยความเมตตากรุณาอย่างไร้เงื่อนไขไม่มีประมาณ เมื่อเราสงบสุข ปล่อยวางได้อย่างแท้จริง แม้สมาชิกในครอบครัวอาจไม่เป็นเหมือนเรา แต่เขาย่อมได้รับพลังแห่งความสงบเย็น ความเมตตาจากเรา เพราะเราไม่ตัดสิน ดูถูก ดูแคลนเขา ไม่ว่าเขาจะเป็นอย่างไร เพราะเขาต้องการเพียงเท่านี้จริงๆ
สละความยึดมั่น ถือมั่นไม่ได้ ยากนักที่จะเข้าใจ
ความทุกข์ ไม่ได้เกิดจากใครเป็นคนทำ
ยิ่งยึดมาก ความรักในครอบครัวไม่ปรากฏ

“การมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว
ส่งผลต่อการอยู่ร่วมกันอย่างเป็นปรกติสุขในสังคม
รากของปัญหาที่เกิดขึ้นในทุกสังคมโลก
มาจากความเห็นผิดในเป้าหมายของการมีชีวิต “

หน้าธรรมวิจัย นสพ.คมชัดลึก
วันอังคารที่ ๑๘ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๒
